โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” AMANAH ลุ้นไตรมาส 4 กำไรนิวไฮต่อ รับพอร์ตสินเชื่อโต

โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” AMANAH ลุ้นไตรมาส 4 กำไรนิวไฮต่อ รับพอร์ตสินเชื่อโต


บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH  ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท/หุ้น โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 ทำจุดสูงสุด นับตั้งแต่มีการปรับแผนธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15.4% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ส่วนกำไรใน 9 เดือนแรก คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี 2563 ทั้งนี้กำไรไตรมาส 4/63 มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่

โดย AMANAH เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย ตามหลักศาสนาอิสลาม เพียงบริษัทฯ เดียวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย AMANAH เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย แบบมีหลักประกัน ภายใต้สโลแกน อะมานะฮ์ เงินด่วน โดยเน้นให้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ภายใต้หลักชะรีอะฮ์ หรือหลักธุรกิจเคียงคู่คุณธรรม เพียงบริษัทฯ เดียวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สำหรับแหล่งเงินทุนมีความมั่นคง แหล่งเงินทุนหลักของบริษัทฯ มาจากตั๋วแลกเงินระยะสั้น ต้นทุนต่ำ และคงที่ ต่ออายุปีต่อปี จาก ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเงินทุนทึ่มีความมั่นคง เนื่องจาก บริษัทฯ เป็นช่องทางหลัก ที่ ธอท. ใช้ในการเติบโตสินเชื่อรายย่อย

ทั้งนี้คาดพอร์ตสินเชื่อ และกำไร ขยายตัว 14% และ13% ตามลำดับ ในปี 2563 ประเมินว่า บริษัทฯ จะสามารถสร้างผลกำไรเติบโตประมาณ 13% ต่อปี ในปี 2563-64 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก พอร์ตสินเชื่อที่ยังเติบโตต่อเนื่อง spread ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มจะขยายตัวในอนาคต ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น และการควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 3.25 บาท/หุ้น จากเดิม 2.70 บาท/หุ้น จากการปรับกำไรปี 2563/2564 ขึ้น ทั้งนี้มีมุมมองเป็นบวกจาก 1) สินเชื่อใหม่ที่จะขยายตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/63 ถึงไตรมาส 1/64 จากลูกหนี้ของบริษัทอื่นมาขอ refinance กับ AMANAH เพิ่มขึ้น และจากการทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น

รวมทั้ง 2) รายได้อื่นเพิ่มขึ้นจากการขายลูกหนี้ให้ผู้ประกอบการ AMC ที่มูลหนี้ 300 ล้านบาทเป็นครั้งแรก และ 3) ค่าใช้จ่ายสำรองฯจะไม่เพิ่มขึ้นสูงจากสำรองฯส่วนเกินคงเหลือเพิ่มขึ้น

ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 เพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 288 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และปี 2564 เพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ 317 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน) โดยเป็นผลจากการปรับ 1) เพิ่ม loan growth ปี 2563/2564 เป็น 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน /เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 2) ปรับ NPLs ปี 2563/2564 ลดลงเป็น 4.1%/5.0%

ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่ underperform SET -10% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ภายหลังที่มีการเปิดตัวความร่วมมือระหว่าง GSB กับ SAWAD วานนี้ อย่างไรก็ตามเราได้ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ จากแนวโน้มสินเชื่อที่คาดว่าจะกลับมาดีขึ้น และกำไรที่จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 2562-2564 EPS CAGR ที่ +13%

Back to top button