เปิด 14 หุ้นรับผลกระทบ “โควิด” ระบาดสมุทรสาคร โบรกฯ แนะ “ชะลอลงทุน”
เปิด 14 หุ้นรับผลกระทบ “โควิด” ระบาดสมุทรสาคร โบรกฯ แนะ “ชะลอลงทุน”
สืบเนื่องจากกรณีเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ จ.สมุทรสาคร อย่างหนัก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และคณะกรรมการโรคติดต่อได้มีคำสั่งให้เฝ้าระวังทั้งจังหวัดตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2563 จนถึงวันที่ 3 ม.ค.2564
ด้านกระทรวงศึกษาธิการได้สั่งการทันทีให้โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินการใช้มาตราการจัดการเรียนการสอนโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน ให้ปรับเป็นการเรียนผ่านออนไลน์ การเรียนอยู่ที่บ้าน หรือการเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม DLTV ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 21 ธ.ค. 2563 จนถึงวันที่ 3 ม.ค.2564 หรือจนกว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนี้ มีการล็อกดาวน์ในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ทำให้มีการปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนีตี้มอล์ ตั้งแต่ 19 ธ.ค.63 – 3 ม.ค.64 ส่วนร้านสะดวกซื้อยังเปิดได้ แต่ต้องปิดบริการเวลา 22.00 -05.00 น. ขณะที่ยังพบว่าโรงงานอาหารทะเลยังมีความเสี่ยงสูงที่จะพบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น
โดยมองว่า การล็อกดาวน์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเล รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีก ที่มีสาขา และโรงงานอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร
ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ระบุว่า จากการที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างชาติและผู้ประกอบการในตลาดกลางค้ากุ้ง โดยตลาดกุ้ง (ทะเลไทย) ประกาศหยุดทำการตั้งแต่ 19 ธ.ค.63 – 3 ม.ค.64 นั้น คาดว่าในเบื้องต้นผลกระทบต่อผลประกอบการของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) หรือ TU ยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจกุ้ง ทั้งในด้านการเลี้ยง (เนื่องจากเป็นฤดูหนาว) และการส่งออก เนื่องจากการส่งออกจะพีคในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งต่างประเทศมีการนำเข้าสินค้าก่อนเข้าสู่เทศกาลคริสต์และปีใหม่
โดย CPF มีรายได้จากธุรกิจกุ้งในไทยและการส่งออกประมาณ 4-5% มีรายได้จากธุรกิจกุ้งในไทยและการส่งออกประมาณ 4-5% ของยอดขายรวมต่อปี ขณะที่ TU มีสัดส่วนประมาณ 10-15% และมีโรงงานที่มหาชัย ซึ่งยังต้องติดตามว่าการระบาดจะขยายวงกว้างหรือไม่
นอกจากนี้ มีการล็อกดาวน์ในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ทำให้มีการปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนีตี้มอล์ ตั้งแต่ 19 ธ.ค.63 – 3 ม.ค.64 ส่วนร้านสะดวกซื้อยังเปิดได้ แต่ต้องปิดบริการเวลา 22.00 -05.00 น. มองว่า หากการระบาดไม่ขยายวงกว้างจนทำให้มีการล็อกดาวน์หลายจังหวัด คาดว่ามีผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากจำนวนสาขาที่ปิด มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสาขาทั้งหมด อีกทั้งสาขาในพื้นที่อื่นๆ ยังคงเปิดดำเนินการ และยังสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวเป็นความเสี่ยงและปัจจัยลบกดดันราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกในช่วงนี้ แนะนำ ชะลอการลงทุน
ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีกที่มีสาขาในสมุทรสาคร ได้แก่ BIGC มี 2 สาขา , ร้าน 7-Eleven ประมาณ 200 สาขา , GLOBAL มี 1 สาขา, HMPRO 1 สาขา และ DOHOME มี 1 สาขา
ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ธ.ค.63) ว่า การล็อกดาวน์ จ.สมุทรสาคร 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.20 3 ม.ค.21 จากกรณีพบผู้ป่วย COVID-19 ใน จ.สมุทรสาคร เพิ่มขึ้นอย่างมากมาก ส่งผลให้ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร ได้มีการประกาศมาตรการสำคัญ ดังนี้
1.กำหนดพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาด (ปิดตลาดกลางกุ้งและหอพัก) 19 ธ.ค.20 – 3 ม.ค.21 (14 วัน) และพื้นที่สาธารณะทั่วไปใน จ.สมุทรสาคร เช่น สนามกีฬา สนามมวย โรงเรียน สถานที่รับเลี้ยงเด็ก ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์
2.ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ให้เปิดเฉพาะ take away ยกเว้นร้านในโรงพยาบาล
3.ร้านสะดวกซื้อ กำหนดเวลาปิด 22.00 05.00 น. และไม่ให้แออัด
4.ตลาดนัด ตลาดสด ขายได้ 6 ชั่วโมง
5.ประชาชนงดออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 22.00 – 05.00 น.
ทั้งนี้ มองประเด็นดังกล่าวเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย การออกมาตรการปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 14 วัน ใน จ.สมุทรสาคร และมีโอกาสสูงมากที่การแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ไปยังจังหวัดอื่น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งเราคาดว่าจะส่งผลลบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย โดยหุ้นที่เราคาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุด ได้แก่ DOHOME, CPN, EKH, TU, ASIAN ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์บวก ได้แก่ JWD, MEGA
Case 1: กรณีล็อกดาวน์ จ.สมุทรสาคร ประเมินว่าจะมีผลกระทบ ดังนี้
( – ) หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการต้องปิดสาขาที่อยู่ใน จ.สมุทรสาคร ชั่วคราว ได้แก่
– DOHOME: ปิด 1 สาขา จากทั้งหมด 16 สาขา
– CPN: ปิด 1 สาขา จากทั้งหมด 34 สาขา
– CRC: ปิด 1 สาขา จากทั้งหมด (เซ็นทรัล+โรบินสัน) 73 สาขา
– GLOBAL: ปิด 2 สาขา จากทั้งหมด 66 สาขา
– HMPRO: ปิด 1 สาขา จากทั้งหมด 107 สาขา
– BJC: มีห้างบิ๊กซี 1 สาขา จากทั้งหมด 151 สาขา (บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์และบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า)
– CPALL: มี 7-eleven (ลดเวลาเปิด) จำนวน 213 สาขา จากทั้งหมด 12,225 สาขา
– MAJOR: มี 1 สาขาที่บิ๊กซีมหาชัย
– MC: มี 3 สาขาที่ Central มหาชัย, Porto Chino และ ปตท. พุทธสาคร
ด้าน หุ้นที่มีโรงงาน/สถานประกอบการหลักตั้งอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร
– EKH: คาดผู้ใช้บริการลดลงเพราะไม่มีคนกล้าเข้าไปใช้บริการ
– TU, ASIAN: มีโรงงานหลักที่ จ.สมุทรสาคร ให้เกิดความกังวลเรื่องแรงงานติดเชื้อ ซึ่งอาจจะทำให้การดำเนินงานหยุดชะงักได้
– TTW: มีโรงงานผลิตจำหน่ายน้ำประปาในพื้นที่นครปฐม-สมุทรสาครจำนวน 1 แห่ง จากทั้งหมด 2 แห่ง ซึ่งอาจจะกระทบยอดขายน้ำประปาลดลง
อย่างไรก็ตามมองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นบวกกับ JWD เป็นบวกต่อธุรกิจห้องเย็นที่ จ.สมุทรสาคร จากการชะลอตัวของการผลิตและการค้าในพื้นที่ จะส่งผลบวกในแง่ของปริมาณสินค้าที่ต้องการจัดเก็บเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 2/2563 ที่รายได้ธุรกิจห้องเย็น +35% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, +6% จากไตรมาสก่อน
Case 2: กรณี Worse case ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะมีการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ไปยังจังหวัดอื่นโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากได้ เนื่องจากตลาดค้าส่งสัตว์น้ำเป็นแหล่งกระจายสินค้าไปหลายจังหวัด ดังนั้น อาจทำให้ต้องมีการล็อกดาวน์เพิ่มอีกหลายจังหวัด ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง หุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบและจะ Underperform คือ
( – ) ศูนย์การค้า + ห้างสรรพสินค้า (SF, PLAT, CRC, CPN, CPNREIT, MBK, AWC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME)
( – ) ร้านอาหาร (AU, ZEN, M, OISHI, SNP, CENTEL, MINT)
( – ) ธุรกิจที่ใช้แรงงานพม่าเยอะ (SEAFCO, PYLON)
( – ) เครื่องดื่มชูกำลัง (CBG, OSP)
( – ) โรงภาพยนตร์ (MAJOR)
( – ) ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (BEM, BTS)
ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลกระทบเชิงบวกและกระทบน้อยมีโอกาส Outperform ได้แก่
( + ) JWD: ส่งผลบวกต่อธุรกิจห้องเย็นและคลังสินค้าที่มีความต้องการเช่าคลังนานขึ้น
( + ) MEGA: ได้ประโยชน์จากการบริโภควิตามินมากขึ้น
( + ) กลุ่ม ICT (ADVANC, DTAC, SYNEX, SIS): มีโอกาสในการขายสินค้ากลุ่ม Work from home เพิ่มขึ้น รวมถึงจะทำให้มีการใช้งาน data เพิ่มมากขึ้น
ด้าน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครนั้น บริษัทขอยืนยันว่า สิ่งที่บริษัทให้ความส คัญสูงสุดคือสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้า ผู้บริโภคและชุมชนโดยรอบ บริษัทได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ ในการปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางป้องกันต่างๆ และจนถึงปัจจุบัน คือ วันที่ 21 ธันวาคมนี้บริษัทได้รับรายงานยืนยันว่ามีพนักงานติดเชื้อเพียง 1 รายจากพนักงานทั้งหมดของกลุ่มบริษัทที่มีการปฏิบัติงานในจังหวัดสมุทรสาคร
โดย บริษัทมีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของทางหน่วยงานราชการว่าด้วยการตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับพนักงานของบริษัท ในขณะนี้โรงงานของกลุ่มบริษัททุกโรงในประเทศไทยยังคงเปิดดำเนินการ โดยบริษัทได้วางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบและรัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิต
อย่างไรก็ดี ในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยที่อาจทำให้ต้องปิดโรงงานของกลุ่มบริษัททุกโรงในจังหวัดสมุทรสาครเป็นเวลา 2 สัปดาห์ทางบริษัทได้ประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ทั้งหมดของบริษัทน้อยกว่า 2% ของรายได้รวมต่อปี ซึ่งบริษัทได้เตรียมมาตรการเสริมเพื่อทดแทนกำลังการผลิตบางส่วนไว้แล้วหากเกิดเหตุสุดวิสัยดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้บริษัทขอความร่วมมืออย่างต่อเนื่องให้พนักงานปฏิบัติตามข้อแนะนำและแนวทางปฏิบัติด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยทั้งจากภาครัฐและบริษัท ตั้งแต่ต้นปีบริษัทมีมาตรการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่โรงงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งพนักงานและผู้ที่มาติดต่อ รวมถึงมาตรการและข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยต่างๆ เช่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน