โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” SCGP เป้า 50 บ. ชี้กำไรโตยาว รับออเดอร์พุ่ง
โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” SCGP เป้า 50 บ. ชี้กำไรโตยาว รับออเดอร์พุ่ง
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ราคาเป้าหมายที่ 50 บาทต่อหุ้น โดย SCGP เป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครองส่วนแบ่งการตลาดบรรจุภัณฑ์กระดาษอันดับ 1 จากมูลค่าการขายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์รวมกัน มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ทำให้สามารถขยายตลาดได้มากขึ้นจากคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และสินค้าที่ครบครัน มีเงินทุนที่เพียงพอในการขยายกำลังการผลิตและเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้คาดกำไรปกติปี 2564-2565 จะเติบโต 17% CAGR โตเด่นกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่ 11%
ทั้งนี้คงมุมมองกำไรปกติ 2563 อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบจากปีก่อน จาก 1) คาดรายได้เติบโต 4% เมื่อเทียบจากปีก่อน แม้ว่า SCGP ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ส่งผลให้การผลิต และการส่งออกชะลอตัวลง แต่ได้รับปัจจัยบวกจากการควบรวมรายได้จาก Fajar และ Visy Thailand เต็มปี และ 2) คาด GPM อยู่ที่ 21.2% ดีขึ้น 167 bps จากสัดส่วนรายได้บรรจุภัณฑ์กระดาษและพลาสติกที่คาดว่าจะสูงขึ้นอยู่ที่ 51%/8% (Vs.47%/6% ในปี 19)และ GPM ของ Fajar ที่ดีขึ้นจากการแข่งขันด้านราคาที่ลดลง
นอกจากนี้มอง Positive Sentiment ต่อการประกาศควบรวมกิจการ SOVI เสร็จสิ้น จากการเข้าควบรวมกิจการ SOVI แล้วเสร็จตามที่เราคาดจะช่วยหนุนให้ SCGP เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวจากเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ คือ กลุ่มผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภค และบริโภค
โดยคาดว่าการควบรวม SOVI จะช่วยเพิ่มให้รายได้ปี 2564 ของ SCGP ให้สูงขึ้นราวๆ 2,300 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตประมาณ 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน ทั้งนี้การควบรวมดังกล่าวไม่กระทบต่อประมาณการของบล.โนมูระ พัฒนสิน เนื่องจากรวมอยู่ในประมาณการของเราอยู่แล้ว
ส่วน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น จากการเติบโตของธุรกิจอาหารที่มีการเติบโตอย่างมาก จากความนิยมบริการเดลิเวอรี่โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เกิดขึ้น ทำให้บริการสั่งอาหารมาทานที่บ้านได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์จากผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เพิ่มขึ้น
ขณะที่การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ชในภูมิภาคอาเซียนเห็นการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ซึ่งเป็นประเทศหลักที่บริษัทมีจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ ทำให้มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในการห่อสินค้าขนส่งมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้กับธุรกิจของบริษัท ส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของยอดขายของบริษัทในปี 64 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 5% มาอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 9.4 หมื่นล้านบาท
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 45 บาทต่อหุ้น จากมุมมองปัจจัยหนุนความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น จากการหันมาใช้บริการขนส่งสินค้าและอาหารเครื่องดื่มต่างๆ มากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลบวกต่อการเติบโตของยอดขายในระยะต่อไป โดยที่ในด้านของยอดขายในปี 64 มองว่าจะเติบโตได้ราว 5% จากปีนี้ที่คาดว่าบริษัทจะปิดยอดขายได้กว่า 9 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้การเติบโตของ SCGP ในอนาคตจะยังมาจากการเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจ หลังจากนำเงินที่ได้จากการขาย IPO มาใช้ขยายธุรกิจไปในภูมิภาคทั้งการซื้อกิจการ การร่วมทุนกับพันธมิตร และการเข้าไปลงทุนในโครงการที่มีอยู่แล้ว ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของบริษัทในอนาคต และล่าสุดที่บริษัทเข้าซื้อ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจกล่องบรรจุภัณฑ์ในเวียดนาม ถือเป็นปัจจัยหนุนผลการดำเนินงานในปี 64 อีกทั้งยังช่วยบริษัทขยายตลาดในเวียดนามได้อีกด้วย
เช่นเดียวกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาทต่อหุ้น คาดการณ์ยอดขายปี 64 จะเติบโตขึ้นได้ต่อเนื่องจากปีนี้ได้ 5% หลังจากที่บริษัทเข้าซื้อกิจการกล่องบรรจุภัณฑ์ในเวียดนาม ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการขยายตลาดในเวียดนามค่อนข้างมาก เนื่องจากธุรกิจกล่องบรรจุภัณฑ์ที่บริษัทเข้าซื้อนั้นเป็นผู้นำตลาดในเวียดนาม อีกทั้งความต้องการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ชและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับอานิสงส์จากตลาดการให้บริการเดลิเวอร์รี่อาหารที่มีการเติบโตขึ้นมาก ในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด โดยเฉพาะตลาดเดลิเวอรี่อาหารในประเทศไทยที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต่าง ๆ มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้กับบริษัทขายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารได้เพิ่มขึ้น พร้อมกับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมีคุณภาพสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำให้มาร์จิ้นของบริษัทสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามธุรกิจของ SCGP มีปัจจัยเสี่ยงอยู่บ้างจากราคาต้นทุนการผลิตที่อาจมีความผันผวน ซึ่งอาจจะกระทบต่อกำไรได้บ้างในบางช่วง