โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” BBL เป้า 150 บ. ชูท็อปพิคกลุ่ม กำไรปี 64 โตทะลุ 2.3 หมื่นล.
โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" BBL เป้า 150 บ. ชูท็อปพิคกลุ่ม กำไรปี 64 โตทะลุ 2.3 หมื่นล.
นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาเป้าหมาย 150 บาท/หุ้น อิง PBV ปี 2564 ที่ 0.65 เท่า (-1.5SD below 10-yr average PBV) โดยประมาณการกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ที่ 5.3 พันล้านบาท (-34% จากปีก่อน, +32% จากไตรมาสก่อน) โดยการลดลงจากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 4/62 มีกำไรจากเงินลงทุนสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจาก Permata จำนวน 4 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ยังคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +14% จากปีก่อน เติบโตได้สูงสุดของกลุ่มฯเพราะมีการตั้งสำรองฯสูงตั้งแต่ปี 2562 ถึงไตรมาส 3/63 และมีความเสี่ยงเรื่อง Debt relief น้อยกว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เพราะช่วยเหลือลูกหนี้น้อยกว่า 5% ของสินเชื่อรวม และไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในการปรับโครงสร้างองค์กรจากธนาคาร Permata
ด้านราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +17% ช่วง 3 เดือน ซึ่ง in line with SET แต่ยังคงให้ BBL เป็น top pick เพราะเป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงในการตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดและมี coverage ratio สูงถึง 178% ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจโดยเทรดที่ 2564E PBV เพียง 0.54 เท่าหรือที่ระดับ -2SD ย้อนหลัง 10 ปี
โดยคาดกำไรไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้น +32% จากไตรมาสก่อน เพราะไม่มีค่าจ่ายพิเศษจาก Permata เราประมาณการกำไรสุทธิในไตรมาส 4/63 ที่ 5.3 พันล้านบาท ลดลง -34% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น +32% จากไตรมาสก่อน โดยการลดลงจากปีก่อนเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรจากเงินลงทุนสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท และมีการนำไปตั้งสำรองบางส่วน
ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1) ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจาก Permata จำนวน 4 พันล้านบาท, 2) สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นได้ +0.7% จากไตรมาสก่อน หรือ 16.0% YTD, 3) NIM ยังทรงตัวได้ที่ระดับ 2.3% จากไตรมาส 3 , 4) รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้ +7% จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจกองทุนรวมและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ, 5) สำรองฯจะเพิ่มขึ้น +25% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งเผื่อลูกหนี้ที่เริ่มทยอยครบกำหนดในโครงการ Debt Relief และ 6) NPLs ratio ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.40% จากในไตรมาสก่อนที่ 4.10% เพราะลูกหนี้ที่ออกจากโครงการและไม่มีการขายหนี้เสียออกเพราะราคาขายปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิปี 2564 จะเติบโตได้สูงที่สุดในกลุ่มฯ ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +14% จากปีก่อน ซึ่งถือว่าเติบโตได้สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารเพราะ
1) มีการตั้งสำรองฯเพิ่มเติมไปเยอะแล้วตั้งแต่ปี 2562 ถึง ไตรมาส 3/63 และจะตั้งน้อยกว่าธนาคารอื่นเพราะมี Debt relief ที่น้อยกว่า 5% ของสินเชื่อรวม (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯอยู่ที่ 23%) ประกอบกับไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในการปรับโครงสร้างองค์กรจากธนาคาร Permata เหมือนในปี 2020 ทำให้ Cost to Income จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 49% จาก 52% ในปี 2020
2) NIM จะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.17% จาก 2.26% ในปี 2563 เพราะยังคงมีการช่วยเหลือลูกหนี้บางส่วนอยู่
3) NPLs มีโอกาสเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มฯ เพราะมีความเสี่ยงเรื่อง Debt relief น้อยกว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เพราะช่วยเหลือลูกหนี้น้อยกว่า 5% ของสินเชื่อรวม (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อยู่ที่ 40%) ทำให้เราเชื่อว่าการตั้งสำรองฯในปี 2021E จะน้อยกว่าธนาคารอื่นๆ
ทั้งนี้ ให้ราคาเป้าหมายที่ 150.00 บาท อิง PBV ปี 2564 ที่ 0.65 เท่า (-1.5SD below 10-yr average PBV) เพราะเป็นธนาคารที่ laggard ที่สุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขายที่ PBV เพียง 0.54 เท่า หรือที่ระดับ -2SD ย้อนหลัง 10 ปี ขณะที่มีความต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ดีกว่ากลุ่มฯ จาก coverage ratio ที่สูงมากที่ระดับ 178% โดยมีความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงได้อีกในอนาคต และสำรองฯที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้