EP กางแผนปี 64 ลุย “วินด์ฟาร์มเวียดนาม” หวังขึ้นแท่นผู้นำพลังงานลม-ศึกษารฟฟ.ก๊าซ 1,500MW
EP กางแผนปี 64 ลุย “วินด์ฟาร์มเวียดนาม” หวังขึ้นแท่นผู้นำพลังงานลม-ศึกษารฟฟ.ก๊าซ 1,500MW
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ยังมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยบริษัทฯยังคงเดินหน้าก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม (ECP) ประเทศเวียดนาม 4 โครงการ
ประกอบด้วย โครงการ HL3, โครงการ HL4, โครงการ TN และโครงการ MN ขนาดกำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ของบริษัทย่อยทางอ้อม มูลค่าการลงทุน รวมประมาณ 223.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,040.92 ล้านบาท รวมทั้งยังหาโอกาสในการเข้าไปลงทุนในโครงการอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานลมรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม
“ในปีนี้ EP จะมุ่งมั่นสู่พลังงานลมที่เวียดนามอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันโครงการลงทุนวินด์ฟาร์มในเวียดนามมีความคืบหน้าไปมากแม้จะมีวิกฤติ COVID-19 เรายังคงเดินหน้าก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามกำหนดตุลาคม ปี 2564 รวมทั้งยังมองหาโอกาสเข้าไปลงทุนวินด์ฟาร์มเพิ่มอีก เพราะมีความต้องการที่จะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานลมรายใหญ่ที่สุดเวียดนาม” นายยุทธ กล่าว
ประธานกรรมการ กล่าวอีกว่า นอกจากการเข้าไปลงทุนในโครงการพลังงานลมแล้ว บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในเวียดนามตอนกลาง ขนาดกำลังผลิตประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มหลายเท่าตัว และผลักดันการเติบโตในอนาคตได้เป็นอย่างดี
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯยังคงสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และคาดว่าจะมีรายได้และกำไรสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง จากการขายโรงไฟฟ้าในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งทำให้บริษัทฯมีกระแสเงินสดในระดับที่ดีขึ้น โดยเฉพาะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเหลือเพียง 1 เท่าจากเดิม 3 เท่า และถือว่าการขายโรงไฟฟ้าในครั้งนี้ สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเท่าตัว
ขณะเดียวกันจะทำให้บริษัทฯมีเงินทุนไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (Equity IRR) ประมาณ 20% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่บริษัทฯประเมินไว้อีกด้วย