ลุ้น INSET โชว์กำไรไตรมาส 4 โตกว่า 30% รับงาน 5G-Data Center ขยายตัว
ลุ้น INSET โชว์กำไรไตรมาส 4 โตกว่า 30% รับงาน 5G-Data Center ขยายตัว
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ราคาพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 4.16 บาท จากโอกาสการเติบโตที่รออยู่คาดจะหนุนผลการดำเนินงานของ INSET มีแนวโน้มสดใส คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 32 ล้านบาท เติบโต 36.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 38.9% เทียบไตรมาสที่ผ่านมา
“กำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น 95.0% จากงานในมือที่มีอยู่หลักๆ ได้แก่ งานติดตั้ง Filter คลื่นความถี่ 850 MHz ของ CAT และงานก่อสร้างศูนย์ Data Center ของ KTBCS (บ.ในเครือของธนาคารกรุงไทย) แต่อาจถูกหักล้างบางส่วนจาก GPM ที่ลดลงจาก 16.0% ในไตรมาส 4/62 เป็น 14.2% จากการรับรู้งานโครงการขนาดใหญ่ที่มีมาร์จิ้นต่ำมีมากขึ้น เมื่อรวมกับกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 63 คาด INSET มีกาไรสุทธิปี 63 ที่ 134 ล้านบาท เติบโต 11.5% เทียบปีที่ผ่านมา”
นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะเข้ามาบวกกับกระแสของการทำงานนอกสถานที่ (WFH) ที่มาแรงในปัจจุบัน คาดส่งผลให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนด้านไอทีมากขึ้น ซึ่งคาดเป็นบวกต่อลักษณะการประกอบธุรกิจของ INSET โดยล่าสุด บริษัทฯได้ลงนามสัญญาหลักว่าจ้างงานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท ไวร์เออ แอนด์ ไวร์เลส จำกัด (เครือ TRUE) มูลค่า 250 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ INSET ประเมินราคาเป้าหมาย 4.66 บาท/หุ้น คาดกำไรทั้งปี 2563 เติบโต 12% และเชื่อว่ายังคาดหวังความต่อเนื่องได้จากจุดเด่นเป็นผู้เล่นหลักรับงานโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต อาทิ 5G, Data Center ซึ่งจากนี้มีเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจะขยายตัวในอัตราเร่ง โดยคาดกำไรปี 2564-65 จากเพิ่มปีละ 10.8% กลายเป็นโตไม่ต่ำกว่าปีละ 15%-20% อีกทั้งแผนการขยายฐานธุรกิจที่รวดเร็ว ทั้งนี้ บล.เอเชีย พลัส เชื่อว่ามีโอกาสที่ INSET หาแนวทางย้ายเข้ามาจกทะเบียนใน SET เพื่อสร้างข้อได้เปรียบต้นทุนการเงินและความหลากหลายนักลงทุน
ขณะที่นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ INSET เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 วางเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีงาน Data Center และงานโทรคมนาคม (งาน 5G) เข้ามาอีกหลายโครงการ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้ประชาชนที่ทำงาน WFM ต้องการใช้ Cloud เพิ่มสูงขึ้น และผู้ประกอบหรือองค์การต่างๆ มีความต้องการที่จะลงทุนขยาย Data Center กันมากขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงเทรน 5G เทคโนโลยี ที่ในปีนี้ เป็นปีที่ทาง Operator ขยายการลงทุนโดยเฉพาะงานอัพเกรดอุปกรณ์ 5G ที่มีต่อเนื่องมาจากปีก่อน
โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 2,000 ล้านบาท และยังเดินหน้าหางานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต