26 หุ้น “บลูชิพ” เดือนม.ค. วิ่งสวนตลาดฯ-พิษ “โควิด” ระลอกใหม่ EA นำทีมกระฉูด 31%

26 หุ้น “บลูชิพ” เดือนม.ค. วิ่งสวนตลาดฯ-พิษ “โควิด” ระลอกใหม่ EA นำทีมกระฉูด 31%


ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ปี 2564 แกว่งตัวผันผวนท่ามกลางสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ในประเทศระลอกใหม่ที่ยังน่าเป็นห่วง โดยเห็นได้จากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศสะสมล่าสุดอยู่ที่ 22,058 ราย แต่เนื่องจากภาครัฐมีมาตรช่วยเยี่ยวยาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐภายหลัง โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 46 อย่างเป็นทางการ

ในขณะเดียวกันภาวะตลาดเดือนม.ค.ในภาพรวมใหญ่ยังมีกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาด EM ในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความคาดหวังต่อวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่จะเริ่มนำเข้ามาใช้ในประเทศหลัก ๆ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยภายในกลางปี 2564 ทำให้นักวิเคราะห์ยังยังคงเป้าดัชนี SET ในไตรมาส 4/2564 เอาไว้ที่ 1,590 จุด

อย่างไรก็ตามแม้ทิศทางดัชนีในเดือนมกราคมยังอ่อนตัวลงเล็กน้อย โดยเห็นได้จากดัชนียืนที่ระดับ 1,449.35 จุด (ณ 30 ธ.ค.63) มาอยู่ที่ระดับ 1,466.98 จุด (ณ 29 ม.ค.64) ลดลง 17.63 จุด หรือลดลง 1.20% แต่พบว่าราคาหุ้นพื้นฐานหลายยังปรับตัวสวนขึ้นสวนทิศทางตลาด และสวนสถานการณ์ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นกลุ่ม SET50 ในเดือนมกราคม 2564 มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงและลงแรงได้อย่างชัดเจน โดยเทียบจากราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.63-29 ม.ค.64 ตามตารารางประกอบ

สำหรับกลุ่มหุ้น SET50 ที่ปรับตัวแข็งแกร่งสวนภาวะตลาดฯมีทั้งหมด 26 ตัว ได้แก่ EA,CBG,GLOBAL, KBANK, SCGP, MTC, COM7,KTC, DELTA, SCB, GPSC, PTTEP, BGRIM, TOP, BH, TISCO, KTB, CPN, SAWAD, CPF,  TMB, BTS, TU, AWC, PTTGC, VGI

โดยอันดับ 1 คือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA  ราคาหุ้นเดือนมกราคมปี 2564 ปรับตัวขึ้น 31.98% จากระดับ 49.25 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 65.00 บาท ณ วันที่ 29 ม.ค.64 โดยปัจจัยหนุนส่วนใหญ่มาจากแผนธุรกิจที่โดดเด่นในปี 2564 และธุรกิจได้รับผลกระทบจำกัดจากการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมายสูง

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า ในปี 64 บริษัทคาดมีรายได้เติบโต 20-30% มาจากการเติบโตจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะมีความสำคัญต่อบริษัทค่อนข้างมาก โดยคาดจะมีสัดส่วนของธุรกิจ EV เพิ่มขึ้นเป็น 20-30% จากปีนี้มีรายได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และไม่มีโครงการใหม่ออกมา

สำหรับธุรกิจ EV ได้แก่ แบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสามารถผลิตรถ EV เฟสแรกในไตรมาส 1/64

ส่วนเรือไฟฟ้าส่งมอบให้บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเริ่มให้บริการ 3 ลำ และทยอยรับมอบให้ครบ 27 ลำในช่วงปลายไตรมาส 1/64 ถึงต้นไตรมาส 2/64 , รถเมล์ไฟฟ้า ขสมก.จำนวน 2,500 คันที่บริษัทจะเป็นซัพพลายเออร์ และรถแท็กซี่ไฟฟ้า จำนวน 5,000 คัน เลื่อนการส่งมอบหลังจากเกิดระบาดโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป บริษัทจึงปรับมาเป็นรถขนส่งสินค้า หรือรถรับส่งพนักงาน และรถโดยสารข้ามจังหวัดเส้นทางระยะสั้น

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” EA ราคาเป้าหมาย 71 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 4/63 กลับมาฟื้นตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาลที่ลมแรงและแสงแดดที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ได้ปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ผ่าน บจ. อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง (EMH) โดยล่าสุดมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 3.3 พันล้านบาท สะท้อนถึงโอกาสการลงทุนที่มีอีกมากทั้งเรือไฟฟ้า,รถบัสไฟฟ้า,รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนกำไรในปีนี้ ทั้งนี้คาดโรงงานแบตเตอรี่ผ่าน AMITA ก่อสร้างเสร็จปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนรายได้และกำไรเต็มที่ในปีหน้า

ด้านหุ้น SET50 ที่ราคาปรับตัวลดลง 20 ตัว ได้แก่ INTUCH,BDMS,TTW,CPALL,BEM, LH, GULF, DTAC, ADVANC, MINT, BBL, BJC, AOT, TOA, IVL, BAM,RATCH, TRUE, EGCO, PTT,ตรงนี้ถือเป็นโอกาสนักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งเข้าพอร์ตเพื่อรอภาวะตลาดฟื้นตัวในปีนี้

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่าปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาระยะนี้คือผลประกอบการไตรมาส 4/2563 ของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการเริ่มใช้วัคซีน COVID-19 ของ Sinovac ในช่วงกลางเดือนนี้ซึ่งคาดหนุนความคาดหวังในด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยเฉพาะครึ่งหลังปี 2564 โดยยังประเมินหากดัชนีปรับฐานลงทดสอบระดับ 1,450-1,460 จุดเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม ส่วนระยะสั้นเน้นเก็งกำไรหุ้นที่คาดมีกำไรไตรมาส 4/2563 แข็งแกร่งและมีประเด็นบวกเฉพาะตัว

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button