TEAMG เปิดแผน 5 ปีทุ่มงบ 4 พันลบ.ขยายลงทุนรัฐ-เอกชน วางเป้ารายได้ปี 64 แตะ 1.9 พันลบ.

TEAMG เปิดแผน 5 ปีทุ่มงบ 4 พันลบ.ขยายลงทุนรัฐ-เอกชน วางเป้ารายได้ปี 64 แตะ 1.9 พันลบ.


ดร.อภิชาติ สระมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจภายใน 5 ปีนับจากปี 2564-2568 บริษัทฯได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการเป็น “A regional solution provider and innovative business developer”  หรือ ผู้นำธุรกิจที่ปรึกษาและพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมครบวงจรในภูมิภาค เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท สำหรับการขยายงานด้านธุรกิจอื่นๆ และการลงทุนใน Non-Consulting Business ในสาขาที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ เพื่อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ (Recurring Income) สร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ได้เท่ากับผลตอบแทนจากงานธุรกิจที่ปรึกษา (Consulting Business)

ทั้งนี้ แนวทางการดำเนินธุรกิจ Non-Consulting Business จะร่วมกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในแต่ละสาขา นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและผลผลิต ส่วนโครงการที่บริษัทฯให้ความสนใจเข้าไปลงทุน จะเน้นโครงการทั้งของภาครัฐ และเอกชน อาทิ โครงการด้านพลังงานทดแทน ตัวอย่างเช่น โซลาร์รูฟ  ที่เป็น Private PPA ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มเข้าไปดำเนินงานแล้ว นอกจากนั้นยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพ ลุยธุรกิจ District Cooling System หรือโครงการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง  “เมืองจุฬาฯ อัจฉริยะ” และมีแผนการลงทุนในโครงการผลิตน้ำประปาสำหรับอาคารสาธารณะ หรือ นิคมอุตสาหกรรมฯ และโครงการด้านคมนาคมขนส่ง

ส่วนแผนการลงทุนด้านธุรกิจอื่นๆ (Non-Consulting Business)  บริษัทฯ เริ่มดำเนินการไปแล้วในปีนี้ รวมทั้งตั้งทีมสนับสนุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบไว้ประมาณไว้ราว 200-250 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนโครงการต่างๆไว้ ประมาณ 4-5 โครงการ ทั้งโครงการของภาครัฐ และเอกชน โดยนโยบายการลงทุนของบริษัทฯ หากเป็นโครงการขนาดเล็กหรือกลาง บริษัทฯ จะลงทุนเอง  ตัวอย่างเช่น โครงการพลังงานทดแทน โซลาร์รูฟ และโครงการผลิตน้ำประปา เป็นต้น แต่หากเป็นโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการด้านคมนาคมขนส่งของภาครัฐ จะจับมือกับพาร์ทเนอร์ลงทุนร่วมกัน

นอกจากนั้นแล้วในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และนำระบบบริหารจัดการเอกสาร มาใช้ทั้งงานออฟฟิศและงานโครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการ โดยงบลงทุนที่ใช้ในการติดตั้งระบบดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ  8 ล้านบาท

ส่วนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย  เนื่องจากบริษัทมีการปรับตัวได้เร็วขึ้น โดยบริษัทกำหนดมาตรการ Work From Home ให้กับพนักงานบางส่วน รวมถึงการจัดทำแผน BCP และการปรับแผนธุรกิจใหม่ แม้จะมีบางโครงการเลื่อนเปิดตัวช้าออกไปบ้าง แต่ในแง่ของการลงทุนลูกค้าโครงการโดยเฉพาะภาครัฐยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หากวัคซีนได้ผลดีจะทำให้สถานการณ์โดยรวมผ่อนคลายมากขึ้น

สำหรับงานโครงการใน สปป.ลาว. ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งมีค่าจ้างที่ปรึกษาประมาณ 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะมีข่าวดีลงนามสัญญาภายในไตรมาส 2 ปีนี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทฯ รุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2563 นี้จะมีรายได้ทรงตัวเทียบกับปี  2562 ทั้งนี้ในปี 2564 มีปัจจัยบวกมาจากโครงการที่เลื่อนมาเริ่มดำเนินงานในปีนี้ ขณะที่การลงทุนด้านพลังงานทดแทน โซล่าร์รูฟ คาดว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้บริษัทให้เป็นไปตามเป้า 1,800-1,900 ล้านบาท ที่วางไว้  เนื่องจากการลงทุนใช้ระยะเวลาสั้น แต่ทำรายได้นานถึง 10 ปี

บริษัทฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ ภายใน 5 ปี โดยมีเป้าหมายเป็น “A regional solution provider and innovative business developer” เน้น 2 ส่วนหลัก คือ  1. “Solution provider”  คือ นอกจากจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าแล้วยังจะเน้นให้คำปรึกษา ศึกษา ออกแบบ รวมทั้งจะช่วยพัฒนาก่อสร้างโครงการจนแล้วเสร็จ

รวมถึงการให้บริการต่อเนื่องไปจนถึงเรื่องการดำเนินการปฏิบัติการและการบำรุงรักษาให้ลูกค้าด้วย 2. “Innovative business developer” การผันตัวเองเป็นผู้พัฒนาโครงการเองมากขึ้น โดยเน้นโครงการที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่ได้เริ่มดำเนินการคาดว่ารายได้รวมขององค์กรจะเติบโตขึ้น 10% ต่อปี และที่สำคัญจะมีส่วนทำให้บริษัทฯ มีผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างยั่งยืนแน่นอน”  ดร.อภิชาติ กล่าว

Back to top button