จับตา 7 หุ้นจิ๋ว เทิร์นอะราวด์!

จัดทัพ 7 หุ้นจิ๋ว กำไรไม่เล็กตามตัว โชว์ผลการดำเนินงาน Q2/58 พลิกกำไร แม้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง ซึ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำเอาบจ.ใหญ่ๆ ต่างกำไรหดหายไปตามๆ กัน


จัดทัพ 7 หุ้นจิ๋ว กำไรไม่เล็กตามตัว โชว์ผลการดำเนินงาน Q2/58 พลิกกำไร แม้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง ซึ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำเอาบจ.ใหญ่ๆ ต่างกำไรหดหายไปตามๆ กัน

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีมูลค่ากิจการในตลาดขนาดเล็ก (market capitalization) ซึ่งประกาศผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 58 พลิกมีกำไรแม้เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ซึ่งพบว่ามีบจ.เข้าข่ายเกณฑ์ที่ใช้อยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 บจ. ดังนี้

 

เริ่มที่อันดับแรก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 48.03 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 114.30 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 177.73 ล้านบาท หรือ 0.05 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 162.41 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.11 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกกำไร เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 564.26 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวที่เพิ่มขึ้น

ด้านผู้บริหารมั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะสามารถพลิกมีกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2556 หลังครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิได้ราว 178 ล้านบาท ส่วนปี 2559 เชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากโรงผลิตเหล็กเกรดพิเศษที่ผลิตงานให้อุตสาหกรรมรถยนต์จะเดินเครื่องเต็มที่ ขณะที่มาร์จินการผลิตเหล็กเกรดพิเศษจะดีกว่าการผลิตเหล็กปกติถึง 2 เท่าตัว

นอกจากนี้ ภาระหนี้สินของบริษัทยังลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนการเงินต่ำลง ประกอบกับผลการดำเนินงานที่เป็นบวกบริษัทจึงมีเป้าหมายจะลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้เหลือเพียง 1-1.5 เท่าภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 2.64 เท่า

โดยราคาหุ้น MILL วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 1.81 บาท ปรับตัวลง 0.07 หรือ 3.72% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49.91 ล้านบาท

 

อันดับที่ บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TFI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 25.87 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ผลขาดทุนสุทธิ 43.51 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 29.20 ล้านบาท หรือ 0.01 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 89.77 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.04 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่พลิกกำไร เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนขายลดลง ทำให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของกลุ่มสินค้าชนิดพิเศษและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนการผลิต

ขณะที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวลือว่า TFI ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตฟิลม์ประเภทบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ จะมีการร่วมทุนกับกลุ่มพันธมิตรรายหนึ่ง เพื่อดำเนินธุรกิจพลังงาน และหากมีการลงทุนธุรกิจพลังงานดังกล่าวเกิดขึ้นจริงจะเป็นอัพไซด์ให้กับบริษัท และสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้อีกช่องทางหนึ่ง

โดยราคาหุ้น TFI วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 1.28 บาท ปรับตัวขึ้น 0.03 หรือ 2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.71 ล้านบาท

 

อันดับที่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 15.27 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 105.80 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.16 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไร 22.33 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 46.95 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกมีกำไร เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนในการผลิตต่ำลง และสามารถผลิตได้มากขึ้น รวมถึงยังสามารถขายได้ในราคาที่มีกำไรสูงกว่าปีก่อน

ด้านผู้บริหารเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการปี 2558 จะเป็นไปตามเป้าที่คาดว่าจะสามารถพลิกมีกำไรสุทธิ หลังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง 3 ปี โดยล่าสุดไตรมาส 1 และ 2 ปี 58 พลิกมีกำไร ทำให้บริษัทจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อีกครั้ง

โดยราคาหุ้น TRUBB วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 1.69 บาท ปรับตัวขึ้น 0.01 หรือ 0.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 62.19 ล้านบาท

 

อันดับที่ 4 บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) หรือ COLOR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 13.78 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 3.48 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 23.97 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 0.91 ล้านบาท หรือ 0.00 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกมีกำไร เนื่องจากบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการผลิต การขายและบริหารได้ดีขึ้น 

ด้านผู้บริหารมั่นใจผลประกอบการปี 2558 จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากปีก่อนที่ขาดทุน 15 ล้านบาท โดยยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 4-5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 807 ล้านบาท ขณะที่รายได้ในครึ่งปีแรกยังขยายตัวต่อเนื่อง และเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทเร่งทำการตลาด ขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าสัดส่วนการส่งออกปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 21% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 19% ของยอดขายรวม

โดยราคาหุ้น COLOR วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 1.49 บาท ปรับตัวลง 0.01 หรือ 0.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.55 ล้านบาท

 

อันดับที่ 5 บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 6.21 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ผลขาดทุนสุทธิ 22.21 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.06 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 14.71 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 29.81 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.08 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกกำไร เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทมีต้นทุนขายและบริการลดลงจากต้นทุนการผลิตลดลงจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ

ขณะที่ผู้บริหารคาดผลงานในไตรมาส 3/58 จะสามารถพลิกเป็นกำไรจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนราว 1.55 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ในส่วนยานยนต์ที่รอส่งมอบจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยบวกเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง โดยยังคงประมาณการรายได้ในปี 58 ราว 1.2 พันล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่ 953 ล้านบาท ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมีความคืบหน้าพอสมควร เชื่อว่าจะสามารถได้ข้อสรุปไม่เกินต้นไตรมาส 4 ของปีนี้

โดยราคาหุ้น CWT วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 3.22 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 หรือ 0.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.51 ล้านบาท

 

อันดับที่ 6 บริษัท ปรีชากรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRECHA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 0.47 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.001 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ผลขาดทุนสุทธิ 5.25 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.016 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกขาดทุนสุทธิ 3.87 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.012 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 12.27 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.037 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกกำไร เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายบ้านจัดสรรโครงการปรีชาราม 3

ด้านผู้บริหารคาดว่าบริษัทจะสามารถพลิกทำกำไรสุทธิได้ในปี 2558 โดยบริษัทจะเร่งทำการโอนเพื่อรับรู้รายได้จากโครงการในมือให้เป็นไปตามเป้าหมาย จากโครงการในปัจจุบันประมาณ 5 โครงการ

โดยราคาหุ้น PRECHA วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 2.98 บาท ปรับตัวขึ้น 0.06 หรือ 2.05% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.44 ล้านบาท

 

อันดับสุดท้าย บริษัท วินเทจ วิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ VTE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 0.45 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.001 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ผลขาดทุนสุทธิ 5.66 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.018 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 9.18  ล้านบาท หรือ 0.021 บาทต่อหุ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 14.7 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.046 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวที่พลิกกำไร เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินลดลงเป็นผลมาจากเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ลดลงจากในปีก่อน โดยกระแสเงินสดที่นำมาจ่ายชำระดังกล่าวนั้นมาจากกระแสเงินสดและสภาพคล่องของกิจการที่สามารถบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น

ขณะที่ผู้บริหารมองว่าปีนี้บริษัทจะเทิร์นอะราวด์กลับมาได้ จากที่ไตรมาส 2/58 พลิกมีกำไร และมีผลงานดีกว่าช่วงเดียวกันจากปีก่อน แม้ในปีนี้บริษัทจะมีกำไรไม่มาก แต่พร้อมเดินหน้าในธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะช่วยผลักดันสัดส่วนรายได้ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยขณะนี้มีแผนเข้าลงทุนธุรกิจพลังงานในประเทศอินโดนีเซียเพิ่ม

โดยราคาหุ้น VTE วานนี้ (9 ก.ย.) อยู่ที่ 4 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 หรือ 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13.57 ล้านบาท

 

*อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button