KISS เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเกิน 11 บ. ชูจุดแข็งผู้นำนวัตกรรมความงาม
KISS ลงเทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเกิน 11 บ. ชูจุดแข็งผู้นำนวัตกรรมความงาม ฟากโบรกฯมองกำไรปี 64 โตทะลุ 55% รับรายได้โตหลังโควิดคลี่คลาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ หลักทรัพย์ บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มหาชน หรือ KISS จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ โดยมี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ KISS กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 9.00 บาท/หุ้น จากช่วงราคาเบื้องต้นที่ 8.50-9.00 บาทต่อหุ้น โดยเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อระหว่างวันที่ 5 และ 8-9 ก.พ.64
ด้านนางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ KISS กล่าวว่า ราคา IPO เป็นระดับราคาที่เหมาะสม สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นรวมถึงโอกาสเติบโตจากการรุกขยายธุรกิจในอนาคต ด้วยการนำจุดแข็งด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมืองให้ครอบคลุมกลุ่มความงามและสุขภาพ เพื่อขยายไปสู่ช่องทาง Direct-to-Consumer (D2C) ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
รวมถึงเป็นบริษัท Asset Light ที่พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้เอื้อต่อการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมสำหรับตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในเชิงประสิทธิภาพของนวัตกรรมและต้นทุนจากการมีเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ส่งผลให้ KISS สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน
นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KISS กล่าวว่า บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านความงามและสุขภาพของเอเชีย หรือ True Health and Beauty Company โดยตั้งเป้าหมายมีรายได้แตะ 3,000 ล้านบาทภายในปี 67 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปี นับจากปี 62 จากแผนขยายการลงทุน ประกอบด้วย
1.พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และแบรนด์ใหม่ในประเทศไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวภายใต้แบรนด์ใหม่ Wonder Herb นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งการทำวิจัยตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่และทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภค พร้อมพัฒนาสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
2.ลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่องทางการขายตรงแก่ผู้บริโภค (Direct-to-consumer: D2C) ที่ช่วยขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการความสะดวกสบายด้วยการซื้อผ่านช่องทางโดยตรงกับแบรนด์ โดย ร่วมมือกับ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) คาดว่ากระบวนการจัดตั้งจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/64 โดย KISS ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
3.ลงทุนขยายธุรกิจในต่างประเทศ ใน 2 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเฉพาะการเติบโตของช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) บริษัทฯ ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัทท้องถิ่นในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการจัดจำหน่ายและทำการตลาดแบบ Omni-channel ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย นอกจากนี้จะเริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศเวียดนาม
และ 4.ลงทุนในการพัฒนาด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันการพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง พร้อมพัฒนา Mobile Skin Analysis เพื่อเป็นเครื่องมือวิเคราะห์สภาพผิว ซึ่งผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวตามคำแนะนำผ่านการเชื่อมต่อช่องทาง E-commerce ได้ทันที คาดว่าจะเริ่มใช้งานภายในปี 64 ก่อนจะขยายการให้บริการไปยังประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามอีกด้วย
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับหลักทรัพย์หุ้นสามัญขอ KISS เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยวันที่เริ่มทำการซื้อขายในวันนี้ (19 ก.พ.64) ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ด้วยจำนวนหุ้นจดทะเบียน 600 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท ทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้น IPO 152,641,600 หุ้น
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ของ KISS เท่ากับ 11.50 บาทต่อหุ้น เทียบเท่าค่า P/E RATIO ปี 2564 ที่ 26.1 เท่า ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ความงารายใหญ่ในต่างประเทศ โดย KISS มีจุดเด่นที่ฐานกำไรยังเล็กเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมความงาม จึงมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต
พร้อมกันนี้ คาดกำไรสุทธิปี 2563 ของ KISS จะลดลง 10.6% จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กดดันแนวโน้มรายได้ในกลุ่มเครื่องสำรองลดลง ขณะที่คาดกำไรสุทธิปี 2564-2565 จะเติบโต 55.3% และ 49.1% จากแนวโน้มรายได้รวมฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง
อีกทั้ง KISS ยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมาร์จิ้นสูงหลายรายการ ขยายธุรกิจไปต่างประเทศและทำ Joint venture กับ GMM ซึ่งจะช่วยหนุนให้ประสิทธิภาพการทำกำไรของ KISS ดีขึ้นตามไปด้วย