SPALI ลุ้นไตรมาส 4/63 โกยกำไร 1.9 พันลบ. พีคสุดของปี จับตาปี 64 โตนิวไฮ!

โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” SPALI ลุ้นไตรมาส 4/63 โกยกำไร 1.9 พันลบ. พีคสุดของปี จับตาปี 64 โตนิวไฮ!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวมรวบบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI หลังมีการคาดการณ์ว่า SPALI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/63 และงวดปี 2563 ในวันนี้ (23 ก.พ.)

โดยบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SPALI ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 25 บาท จากเดิม 20 บาท เนื่องจากมีการปรับกำไรขึ้น โดยมี key catalyst จากกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงกำไรสุทธิปี 2564 ที่จะเติบโตโดดเด่น จาก backlog ที่สูง รวมถึงยังมี upside เพิ่มจากดีลการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT

สำหรับไตรมาส 4/63 ประเมินกำไรสุทธิที่ 1.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 56% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน) มากกว่าที่คาดเดิมที่ 1.6 พันล้านบาท จากยอดโอนคอนโดใหม่ที่มากกว่าคาด ส่งผลให้ปรับกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น 7% เป็น 4.3 พันล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบจากปีก่อน

ส่วนปี 2564 ปรับกำไรสุทธิขึ้น 23% เป็น 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากมีการปรับรายได้ขึ้น จาก backlog ที่สูงขึ้น และปรับ GPM ขึ้นเนื่องจากคอนโดใหม่ที่โอนส่วนใหญ่จะมี GPM ที่สูง ซึ่งในปี 2564 จะมีคอนโดใหม่เริ่มโอน 3 โครงการ และทำยอดขายได้แล้วค่อนข้างสูงแล้ว รวมถึงรายได้จากโครงการแนวราบจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น

ส่วน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” หุ้น SPALI จากเดิม ถือ “ซื้อ” และปรับราคาพื้นฐานปรับขึ้นเป็น 24.70 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 64 ที่ 8.1 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย P/E ในอดีต คาดกำไรไตรมาส 4/63 ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน และโตขึ้นก้าวกระโดด 58% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน สืบเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายปี 64 ด้วยยอดขายและการเปิดโครงการใหม่ที่สูงขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ ได้มีการปรับประมาณการกำไรปี 2564 สูงขึ้นถึง 22% เทียบกับประมาณการเดิม ซึ่งมีสมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมมากเกินไป ด้านอัตราการเติบโตกำไรหลักปี 2564 และ 2565  เป็น +36%/+5% เมื่อเทียบจากปีก่อน หลังปี 2563 ลดลง 20% เมื่อเทียบจากปีก่อน  ที่ได้รับผลลบจากโรคโควิด-19 ข้อดีคือ คาดว่าปี 2564 จะทำกำไรเป็นสถิติสูงสุดใหม่ การเติบโตสูงถึง 36% มากกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ระดับ 13% แต่กลับซื้อขายด้วย P/E ปี 2564 ที่เพียง 6.7 เท่า ถูกกว่ากลุ่มที่ 8-9 เท่า

โดยจุดเด่นคือ พอร์ตสินค้ามีสมดุลย์ที่ดีคือ มีทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดแนวสูง คาดว่าความต้องการบ้านแนวราบจะยังอยู่ในระดับที่ดีในช่วงมีโรคโควิด-19 มีประสิทธิภาพการทำกำไรที่โดดเด่นเหนือกลุ่ม และยอดขายรอโอน (Backlog) ที่สูงเป็น 38 พันล้านบาท ณ ปลายปี 2563 ซึ่งเป็นการรับประกันรายได้ปีนี้และปี 2565 ที่ 62% และ 48% ตามลำดับ งบดุลแข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.6 เท่า ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์ดี ปีนี้และปี 2565 ที่ 5.4% และ 5.6% ตามลำดับ

พร้อมทั้ง บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 24 บาท เนื่องจากคาดว่าฐานรายได้จะฟื้นตัวขึ้นเป็น 2.74 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบจากปีก่อน จาก Backlog ที่จะรับรู้ในปี 2564 กว่า 1.62 หมื่นล้านบาท ช่วย Secure เป้าโอนที่ประเมินไว้แล้ว 60% และอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะฟื้นตัวเป็น 38.5% (ปี 2563 คาดไว้ที่ 37.9%) หนุนจาก 3 คอนโดมิเนียมใหม่ที่จะแล้วเสร็จ ช่วงกลางปี 2564 ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2564 อยู่ที่ 5.86 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบจากปีก่อน และดีกว่าที่บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินไว้ก่อนหน้า 21%

นอกจากนี้ยังมี Upsides จากแผนการนำ SPALIRT มูลค่าสินทรัพย์ 3,200 ล้านบาท ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 1.3-1.4 พันล้านบาท (ยังไม่รวมในประมาณการของบล.เอเชีย เวลท์) และคาดเงินปันผลปี 63-64 ที่ 0.80 บาท และ 1.09 บาท ต่อหุ้น ตามลำดับ (Div.Yld. 4.0% และ 5.5% ตามลำดับ)

ทั้งนี้คาดว่า SPALI จะมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4/63 ที่ 1.92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 57% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน รวมทั้งเป็นจุดสูงสุดของปี 2563 มาจากยอดโอนอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เป็น 7.95 พันล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4.69 พันล้านบาท และอีก 3.26 พันล้านบาท มาจากคอนโดมิเนียม ซึ่งในจำนวนดังกล่าว รวมโครงการ Oriental สุขุมวิท 39 ซึ่งเป็นโครงการที่แล้วเสร็จใหม่ในช่วงไตรมาส 4/63 และ (2) อัตรากำไรขั้นต้นที่คาดไว้ที่ 40.3% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/63 ที่ 36.6% หลังคอนโดมิเนียมที่โอนมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ทำให้ประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 4.30 พันล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบจากก่อน เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 แต่ดีกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า 5% ขณะที่ยอด Presales ปี 2563 อยู่ที่ 2.43 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบจากก่อน

สอดคล้องกับบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SPALI ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท โดยมองว่าปี 2564 จะเป็นปีที่โดดเด่นด้วยเป้าหมายยอดขายเติบโต 11% ยอดโอนสูงเป็นประวัติการณ์ 2.8 หมื่นล้านบาทและการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก

สำหรับยอดโอน (รายได้) คาดว่าจะเติบโตอย่างน่าประทับใจแตะ 2.8 หมื่นล้านบาท ตรงตามประมาณการของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง โดยครึ่งหนึ่งจะมาจากงานในมือซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัยโอเรียนทัลสุขุมวิท 39 ที่สร้างเสร็จปลายปี 2563 และอีก 3 โครงการที่จะแล้วเสร็จในปีนี้

ดังนั้น ยังคงประมาณการกำไรไว้ที่ 5.56 พันล้านบาท เติบโตเกือบ 40% เทียบกับปีก่อน ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาหุ้นที่บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ศึกษา อัพไซด์จะมาจากกำไรจากการขายอาคารสำนักงานให้กับ SPALIRT ซึ่งน่าจะในครึ่งปีหลัง 2564 ส่วนดาวน์ไซด์ คือ ลูกค้าต่างชาติซึ่งมียอดซื้อล่วงหน้ารวม 3 พันล้านขอยกเลิกสัญญากับคอนโดศุภาลัยโอเรียนทัล สุขุมวิท 39 เพราะเข้ามาโอนไม่ได้ เดินหน้าเกมรุกหนักพร้อมเปิดตัว 31 โครงการใหม่มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท SPALI หวังที่จะยึดส่วนแบ่งการตลาดจากนักพัฒนารายอื่นที่อาจเปิดตัวโครงการไม่กี่โครงการท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ยากลำบาก

Back to top button