GULF กำไรปี 63 เฉียด 4.3 พันลบ. รับรายได้ขายไฟโต-ต้นทุนก๊าซลด พ่วงปันผล 0.38 บ.
GULF ประกาศกำไรปี 63 เฉียด 4.3 พันลบ. รับรายได้ขายไฟโต-ต้นทุนก๊าซลด พ่วงปันผล 0.38 บ.
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานประจำปี2563 สิ้นสุด 31 ธ.ค.2563 ดังนี้
อย่างไรก็ตามกำไรจากการดำเนินงาน (Core profit) ในปี 2563 เท่ากับ 4,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยหลัก core profit ปรับตัวดีขึ้นจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้า BKR ในไตรมาส 4/2563 และรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการ ภายใต้กลุ่ม GMP
รวมถึงมีโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2563 นอกจากนี้ ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติยังปรับตัวลดลง อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ค่ำ Ft ลดลงในอัตราที่น้อยกว่า และต้นทุนอื่น ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายรวมยังปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าการเติบโต
ด้านรายได้จากการขายในปี 2563 ยังเพิ่มขึ้น 9.3% จากการรับรู้รายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 464.8 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 4/63 การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG กำลังการผลิตติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ในเดือนมีนาคม 2563 และการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้า SPP ทั้ง 12 โครงการ ภายใต้กลุ่ม GMP นอกจากนี้ยังมีการบันทึกรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามเต็มปีด้วยเช่นกัน
ขณะที่ บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2563 มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 1,239 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี ในไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นไตรมาสแรก หลังจากที่ GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 50% ในเดือน กันยายน 2563 นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 25 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มีนาคม 2563
ในปี 2563 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 35,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2562 และมี Core Profit เท่ากับ 4,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จาก 3,509 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักคือการรับรู้กำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 กำไรของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG และรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม จำนวน 119 เมกะวัตต์ ประกอบกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจาก 272.90 บาท / ล้านบีทียู ในปี 2562 เป็น 244.51 บาท / ล้านบีทียู ในปี 2563 ในขณะที่ ค่า Ft เฉลี่ยลดลงในอัตราที่น้อยกว่า จาก (0.1160) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2562 เป็น (0.1188) บาท / กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในปี 2563 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) สูงขึ้น จาก 23.9% ในปี 2652 เป็น 27.6% ในปี 2563
ทั้งนี้กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 7 โรงภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น เนื่องจากในปี 2562 มีการหยุดซ่อมบำรุงหลัก (Major Overhaul) ของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 6 โครงการ ในขณะที่ปี 2563 มีโรงไฟฟ้า SPP หยุดซ่อมบำรุงหลักเพียง 1 โครงการ ในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP 12 โรงภายใต้กลุ่ม GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากปี 2563 เป็นปีแรกที่โครงการ 12 SPPs ทั้งหมดภายใต้กลุ่ม GMP ขายไฟฟ้าครบเต็มปีหลังจากทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2560-2562
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม GJP และ GMP มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อยในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจากลูกค้าบางส่วนได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสิ่งทอ ในขณะที่ลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มบรรจุภัณฑ์มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว จึงทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจาก COVID-19 ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติแล้วในช่วงปลายปี 2563 ปัจจุบัน บริษัทฯ ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในสัดส่วน 88% และขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพียง 12% นอกจากนี้ กำไรในปี 2563 ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 295 ล้านบาท และ SPCG จำนวน 142 ล้านบาท อีกด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่สำหรับปี 2563 เท่ากับ 4,282 ล้านบาท ลดลง 12.4% จากปีก่อน เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด
โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.47 เท่า เมื่อเทียบกับข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า เนื่องจากในเดือนกันยายน 2563 บริษัทฯ ได้มีการเพิ่มทุน จำนวน 32,000 ล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ซึ่งทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้มากกว่า 100,000 ล้านบาท
ด้าน นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่ารายได้ของปี 2564 คาดว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% จากปี 2563 เนื่องมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า IPP 2,650 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2564 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน พฤษภาคม และตุลาคม 2564
และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้น จาก 6,409 เมกะวัตต์ ในปี 2653 เป็น 7,903 เมกะวัตต์ ในปี 2564 นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้กำไรเต็มปีจากโครงการโรงไฟฟ้าลมในทะเล BKR2 และโครงการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ PTT NGD ที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อในสัดส่วน 40% ในเดือน ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ประกอบกับรับรู้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น INTUCH อีกด้วย
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 88% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2564 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 มีนาคม 2564 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 9 เมษายน 2564