W พาธุรกิจอาหารปี 63 ฝ่าวิกฤต! คาดปี 64 โตก้าวกระโดดหลัง “โควิด” คลี่คลาย
W พาธุรกิจอาหารปี 63 ฝ่าวิกฤต! คาดปี 64 โตก้าวกระโดดหลัง “โควิด” คลี่คลาย
บริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W เปิดเผยว่า แม้ว่าในปี 2563 ธุรกิจในทุก Sector ต่างก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร แต่พบว่า W สามารถนำพาธุรกิจฝ่ามรสุมโควิดไปได้ดีพอสมควร โดยหากพิจารณาจากงบการเงินพบว่าผลกำไร-ขาดทุนรวมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ (ไม่ได้รวมรายการพิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน เช่น ขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในธุรกิจชิ้นส่วนอีเล็คโทรนิคส์ ขาดทุนจากการตั้งสำรอง และกำไรพิเศษอื่นๆ) มีผลขาดทุนประมาณ 48 ล้านบาท
ทั้งนี้หากพิจารณาที่ธุรกิจอาหารทั้งกลุ่ม โดยไม่รวม Domino’s Pizza (ธุรกิจอาหารของกลุ่ม W ที่ถือเงินลงทุนผ่านบริษัทย่อย Food Holding อันได้แก่ Kagonoya, Le Boeuf, Creps&Co., และกลุ่มขนม BAKE) พบว่าธุรกิจอาหารดังกล่าวมีผลขาดทุนลดลงถึง 18 ล้านบาท โดยลดลงจากผลขาดทุน 37 ล้านบาทในปี 2562 เหลือ 19 ล้านบาทในปี 2563 หรืออาจกล่าวได้ว่ากำไรรวมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจมีอัตราการเติบโตถึง 49%
ในส่วนผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2563 จำนวน 29 ล้านบาท เกิดจากการที่ W รับรู้ผลประกอบการของ Domino’s Pizza ในช่วงไตรมาส 4/63 ซึ่งเป็นไปตามที่ผู้บริหารได้คาดการณ์ไว้แล้วก่อนเข้าซื้อธุรกิจ Domino’s Pizza ว่าจะมีผลขาดทุนในช่วงแรกซึ่งเป็นช่วง ซ่อม-สร้าง ธุรกิจราว 8 – 10 ล้านบาทต่อเดือน
นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน W เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานปี 63 ซึ่งธุรกิจอาหารเจอผลกระทบอย่างหนักจาก Covid แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ร้านอาหารในเครือ Food Holding สามารถเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยเชื่อว่าปัจจัยความสำเร็จนี้เกิดจากการที่เรามุ่งพัฒนาสิ่งต่างๆ ที่เคย Commit ไว้กับผู้ถือหุ้น โดยในปี 2563 บริษัทมีพัฒนาการที่สำคัญที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการขายผ่าน Delivery ซึ่งเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดได้เป็นอย่างดีในช่วง Covid, การรวมแบรนด์ร้านขนมญี่ปุ่นทุก Brand ในร้านเดียว ภายใต้ Concept “Bake Works” ซึ่งจะทำให้ค่าเช่าที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ, การปรับปรุงบริการและคุณภาพอาหารของ Kagonoya
โดยเฉพาะเรื่องเนื้อวัว ซึ่งเป็นจุดแข็งของแบรนด์ และได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีการปรับปรุงร้าน Le Boeuf ให้กลับเข้ามาในตลาดในฐานะร้าน Steak ชั้นนำได้”
“ในปีที่ผ่านมาเรายังมีการขยายร้านอาหารในเครือ Food Holding ทั้งในรูปแบบของการขยายสาขาของร้านอาหารเดิมที่เรามีให้กระจายถึงฐานลูกค้าได้มากขึ้น โดยได้เปิด Kagonoya สาขาปิ่นเกล้าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 และ Le Boeuf สาขาอารีย์ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นต้น และปัจจุบัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการเปิดสาขาเพิ่มเติมของทุกแบรนด์ในกลุ่มอย่างน้อย 1-3 สาขาต่อแบรนด์ นอกจากนี้เรายังได้หาแบรนด์ใหม่ๆ มาเติม Port ร้านอาหารของเรา เช่นร้านเนื้อย่าง Yuma ซึ่งเรามองว่ากลยุทธ์ที่เราวางไว้เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 63 ดีขึ้น”
“สำหรับ Domino’s Pizza ซึ่งเรามองว่าจะเป็นเรือธงของกลุ่มบริษัท เพราะตลาดพิซซ่าในไทยมีขนาดใหญ่นับหมื่นล้านบาท และ Domino’s Pizza ก็เป็นแบรนด์ QSR PIZZA ชั้นนำของโลกนั้น ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเรารับโอนธุรกิจ Domino’s Pizza พบว่าอยู่ในภาวะขาดทุน โดยเราได้ใช้เวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมาในการแก้จุดอ่อนและเสริมจุดแข็ง ซึ่งปัจจุบันต้องบอกว่าเราได้ดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว โดยใน Phase ถัดไปจะเป็นการเปิดสาขาเพิ่มให้ครอบคลุมฐานลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งหากดำเนินแล้วเสร็จตามแผนในช่วงไตรมาส 4 ก็คาดว่าจะพาธุรกิจผ่านจุดคุ้มทุนได้”
“หากสถานการณ์ Covid คลี่คลาย เรามั่นใจว่าจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อธุรกิจในเครือ W ทั้งหมด เพราะฐานลูกค้าหลักกลุ่มใหญ่ของเราจะกลับมา ทั้งกลุ่ม Tourist, พนักงานออฟฟิศ, และลูกค้ากลุ่ม Dine-in ซึ่งจากข่าวการแพร่ระบาดที่ลดลง รวมถึงการนำเข้าวัคซีน เราเชื่อว่ายอดขายของร้านอาหารของเราจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2564 นอกจากนี้ จากแผนการเปิดสาขาใหม่ของ Domino’s Pizza รวมถึงการเปิดสาขาใหม่ของแบรนด์อื่นๆ ในอนาคตอันใกล้ เราค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการปี 2564 เติบโตอย่างก้าวกระโดด”
ทั้งนี้ W ได้มีการแจ้งมติการอนุมัติการรวม Par และลดทุนในวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาเช่นกัน โดย นายศิรัตน์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “จากที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการจัดโครงสร้างทุนของบริษัทด้วยการรวมพาร์และลดทุนชำระแล้วด้วยการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม และส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติแล้ว บริษัทจะดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2564 ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของบริษัทสะท้อนสถานะทางการเงินที่แท้จริง
โดยหากในอนาคตบริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดก็จะสามารถปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งของบริษัท โดยภายหลังการดำเนินการจัดโครงสร้างทุน หุ้นของบริษัทจะลดลงจากราว 12,000 ล้านหุ้น เหลือเพียงราว 814 ล้านหุ้น และงบการเงินไตรมาส 2/2564 ของบริษัทจะไม่มีขาดทุนสะสมและส่วนต่ำมูลค่าหุ้นอีก (ขาดทุนสะสมในงบปี 63 จำนวน 953 ล้านบาท และส่วนต่ำมูลค่าหุ้นจำนวน 10,321 ล้านบาท)”