PTTEP กำไรปีนี้โต 20% สะท้อน “น้ำมันดิบ” พุ่ง – ยอดขายเพิ่ม
PTTEP กำไรปีนี้โต 20% สะท้อน “น้ำมันดิบ” พุ่ง – ยอดขายเพิ่ม
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 140.00 บาท (เดิม 125.00 บาท) อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยระยะยาว ที่ USD55/bbl
ทั้งนี้มองว่า PTTEP อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้ประโยชน์จาก 1) ราคาน้ำมันดิบที่จะยืนในระดับสูงในครึ่งแรกของปี 2564, 2) การเริ่มผลิตของโครงการใหม่ๆ (เช่น โครงการแปลง เอช ในมาเลเซีย และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ) และ 3) การรับรู้ปริมาณยอดขายเพิ่มเติมจากโครง Oman Block 61 (ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถรับรู้ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564)
พร้อมกันนี้ ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้น 21%/22% ตามลำดับ สะท้อนถึงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบที่สูงขึ้น เป็น USD58/bbl และ USD57/bbl ใน 2 ปีข้างหน้า
อีกทั้ง ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการยอดขายรวมขึ้น 7.4%/14.6% เพื่อสะท้อนการรับรู้ยอดขายของโครงการ Oman Block 61 เข้ามาในประมาณการ ทั้งนี้ได้รวมผลกระทบที่เป็นไปได้จากการเริ่มโครงการ G1/61 (เอราวัณ) ที่ล่าช้าเข้าไปในประมาณการแล้ว
ขณะที่ราคาหุ้น outperform SET +18% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น 34% YTD ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปัจจุบันหุ้น PTTEP ซื้อขายที่ 2021E PBV ที่ 1.3 เท่า (ประมาณ +0.75 SD บนค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) โดยทางฝ่ายชอบ PTTEP โดยมองว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากแผนการเพิ่มปริมาณยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งจากโครงการที่ดำเนินการเองและจาก M&A
นอกจากนี้ ราคาเป้าหมายของเรายังมี upside จากโครงการ Sarawak SK410B (กำลังการผลิตเบื้องต้น 600-800 mmscfd) ที่ยังรอประกาศการลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565
ด้านราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มยืนสูงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากความเฝ้าระวังของ OPEC+ หลังจากทำระดับสูงสุดในรอบปีช่วงต้น มี.ค. ราคาน้ำมันดิบดูไบวานนี้ปิดที่ USD67.3/bbl (+34% YTD) ซึ่งสะท้อนถึงปัจจัยบวกจากการรักษาการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ ที่ประมาณ 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) ในเดือน เม.ย. (ซึ่งรวมถึง การลดกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียโดยสมัครใจ 1 mbd)
ทั้งนี้แม้ว่า OPEC จะคาดการถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์การใช้น้ำมันทั่วโลกที่ 96.3 mbd ในปี 2565 (5.9 mbd สูงกว่าปี 2563) แต่เชื่อว่า OPEC+ จะมีความระมัดระวังในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวของอุปสงค์หลังจากมีการใช้วัคซีน COVID-19 ทั่วโลก เราจึงคาดว่า จะเห็นถึงการเพิ่มระดับการผลิตน้ำมันของ OPEC+ อีกทีในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
ด้านปริมาณยอดขายในช่วงปี 2564 เติบโตจากการเริ่มโครงการใหม่และ M&A PTTEP ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีปริมาณยอดขายเพิ่มเติมจากการเริ่มโครงการแปลง เอช ในมาเลเซีย ในไตรมาส 2/64 และโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ในไตรมาส 3/64
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้บริษัทได้ประกาศลงทุน 2,460 พันล้านเหรียญเพื่อสัดส่วนลงทุนร้อยละ 20 ในโครงการ Oman Block 61 (มีอัตรากำลังการผลิตก๊าซฯ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmscfd) และคอนเดนเสท 65 kbd) ทั้งนี้แม้ปัจจุบันโครงการนี้ยังต้องรอการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอยู่ แต่เชื่อว่า PTTEP จะสามารถรับรู้โครงการนี้ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ส่วนกรณีรับรู้ความเสี่ยงของการเริ่มโครงการเอราวัณล่าช้า ปัจจุบัน PTTEP ได้ประสบปัญหายังไม่สามารถเข้าพื้นที่โครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ได้ เนื่องจาก Chevron ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานปัจจุบันไม่ยินยอมให้บริษัทเข้าโครงการเพื่อดำเนินการติดตั้งแท่นหลุมผลิตและเจาะหลุมผลิต ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ PTTEP จะไม่สามารถดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ตามสัญญากับทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (DMF) ที่ 800 mmscfd ซึ่งสัญญาจะเริ่มต้นในเดือน เม.ย. 2022
อย่างไรก็ตาม ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้น 21%/22% จากการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้น เป็น USD58/bbl และ USD57/bbl ใน 2 ปีข้างหน้า จากเดิม USD54/bbl และ USD56/bbl ก่อนหน้านี้
อีกทั้งปรับเพิ่มประมาณการยอดขายรวมขึ้น 7.4%/14.6% เป็น 399-486 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (kboed) หลักๆ เพื่อสะท้อนการรับรู้ยอดขายของโครงการ Oman Block 61 เข้ามาในประมาณการ นอกจากนี้ได้ปรับลดต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) เหลือ USD26.2-USD29.3/boe จากเดิม USD28.0-USD29.9/boe เพื่อสะท้อนผลจากปริมาณยอดขายที่สูงขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้ราคาเป้าหมายใหม่ปี 2564 ที่ 140.00 บาท (จากเดิม 125.00 บาท เดิม) อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยระยะยาว ที่ USD55/bbl โดยฝ่ายวิจัยชอบเรื่องราวการฟื้นตัวของกำไรที่น่าสนใจของ PTTEP ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยปริมาณยอดขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการรับรู้โครงการใหม่และ M&A
อีกทั้งเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบที่ยืนในระดับสูงจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นซึ่งมี positive correlation กับราคาน้ำมันดิบได้ นอกจากนี้ ราคาเป้าหมายยังมี upside จากโครงการ Sarawak SK410B (กำลังการผลิตเบื้องต้น 600-800 mmscfd) ที่ยังรอประกาศ FID ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 อีกด้วย