เคาะ 14 หุ้นเด่นอานิสงส์ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3” ลุ้นครม.ไฟเขียว 23 มี.ค.นี้
เคาะ 14 หุ้นเด่นอานิสงส์ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3” ลุ้นครม.ไฟเขียว 23 มี.ค.นี้
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์หุ้นเกี่ยวเนื่องกับกลุ่มท่องเที่ยวมานำเสนอ เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากกรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมนำเสนอโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 23 มี.ค.นี้ พร้อมกับโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” โดยครั้งนี้อาศัยข้อมูลประกอบจากบทวิเคราะห์บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ททท.คาดจะสามารนำเสนอโครงการ เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 จำนวน 2 ล้านสิทธิ ให้ที่ประชุมครม.พิจารณาในวันที่ 23 มี.ค.นี้ พร้อมกับโครงการ ทัวร์เที่ยวไทยด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ครม.จะอนุมัติเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 แต่ก็ไม่น่าจะเปิดให้ใช้สิทธิได้ทันช่วงสงกรานต์นี้
ด้านรองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ระบุว่า เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 4/2564 ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเดือนละกว่า 2 ล้านคน ทำให้คาดว่าไตรมาส 4/25654 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยราว 6.5 ล้านคน
โดยประเด็นดังกล่าวเป็น Sentiment บวกต่อภาคท่องเที่ยวของไทย โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้การท่องเที่ยวจะมาจากไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก และหลังจากต่างประเทศและในประเทศมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 กันแพร่หลายมากขึ้น ไทยก็จะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึง Medical Tourist เข้ามาได้ตั้งแต่ไตรมาส4/2564 ซึ่งจะเป็นการเริ่มฟื้นตัวของท่องเที่ยวต่างชาติในไทยที่ชัดเจน
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อสะสมหุ้นที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว โดยหุ้นเด่นในกลุ่มสนามบิน สายการบิน เติมน้ำมันอากาศยานเป็น AOT, AAV, BA, BAFS ที่จะได้ผลดีจากการเดินทางที่ทยอยเพิ่มขึ้น โดยระยะแรกเป็นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศก่อน แล้วการเดินทางระหว่างประเทศค่อยทยอยตามมา
ส่วนหุ้นเด่นกลุ่มโรงแรมและสปา คือ ERW (ลูกค้าคนไทยมีสัดส่วนสูง บริษัทอยู่ระหว่างเพิ่มทุน สัดส่วน 1.25 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ @ 1 บาท และออก ERW-W3 จัดสรร 7 หุ้นสามัญ : 1 W โดยไม่คิดมูลค่า อายุ W ไม่เกิน 3 ปี ใช้สิทธิ 1:1@ 3 บาท จะขึ้น XR & XW พร้อมกันวันที่ 11 พ.ค.64 แนะนำผู้ที่มีหุ้น ERW ให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน), MINT (บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาขายโรงแรม 4-5 แห่งแล้วเช่ากลับมาบริหารต่อ เพื่อนำเงินจากการขายไปลดหนี้สิน รวมถึง NH Hotel อยู่ระหว่างวางแผนลดจำนวนพนักงานถาวร & ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆเพิ่มเติม ณ สิ้นม.ค.64 มีเงินสด 2.5 หมื่นล้านบาท วงเงินสินเชื่อ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน), SPA (คาดจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 โดยเริ่มจากลูกค้าในประเทศก่อน โดยเดือนก.พ.64 กลับมาเปิดสาขาได้กว่า 70% แล้ว)
ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มโรงพยาบาลที่รับ Medical Tourist คือ BDMS, BH ทั้งนี้ก่อนมีโควิด-19 ทาง BDMS มีรายได้จากคนไข้ต่างชาติราว 30% ส่วน BH สูงถึง 67% และเมื่อคนไข้ต่างชาติกลับมาก็คาดว่ารายได้และกำไรจะพลิกฟื้นตัวได้ดีและรวดเร็วโดยเฉพาะในปี 65
สำหรับกลุ่มอื่นๆที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวด้วย ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน (หุ้นเด่น ADVANC ซึ่งมีรายได้จากระบบเติมเงินราว 50%), ร้านสะดวกซื้อ (หุ้นเด่น CPALL), ศูนย์การค้า (หุ้นเด่น CPN), ขนส่ง (หุ้นเด่น BEM, BTS) เป็นต้น
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน