PF พุ่ง 8% ทำนิวไฮรอบ 1 ปี รับแผนลุยธุรกิจใหม่ ดันผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์”

ราคาหุ้น PF พุ่ง 8% ทำนิวไฮรอบ 1 ปี รับแผนลุยธุรกิจใหม่ ดันผลงานปีนี้ "เทิร์นอะราวด์"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 เม.ย. 2564) ราคาหุ้น บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ณ เวลา 11.50 น. ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.53 บาท บวกไป 0.04 บาท หรือขึ้นไป 8.16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 138.59 ล้านบาท ซึ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.55 บาท เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2563

โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากประกาศแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ผลิตถุงมือยาง ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ในปีนี้ 3 พันล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการพลิกกลับมามีกำไร

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิมเต็มมูลค่า(Fully Valued) ราคาพื้นฐานใหม่ 0.61 บาท ประเมินด้วย P/BV ปี 64 ที่เพียง 0.5 เท่า หรือเทียบเท่าเป็น P/E ปี 64 ที่ 9.5 เท่า ซึ่งเห็นว่าไม่ได้สูงมากหากพิจารณาแนวโน้มการฟื้นตัวได้ได้อย่างแข็งแกร่งและฐานะการเงินที่จะดีขึ้น

โดย บริษัทตั้งเป้าหมายว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือ 1.2 เท่าจากสิ้นปี 63 ที่ 2.5เท่า แต่ตามประมาณการจะลดลงเหลือที่ 2.1 เท่าก่อน และปี 65 เป็น 1.4 เท่า ซึ่งเป็นเพราะสมมุติฐานที่อนุรักษ์นิยมกว่าบริษัท โดยราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 25% หากให้จ่ายปันผลเท่ากับปี 63 คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลอยู่ในเกณฑ์ดี คือ 4% แต่ก็มี Upside ที่บริษัทอาจจะจ่ายสูงกว่านี้ เพราะปี 64 และ 65 หากจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้จริง

ทั้งนี้ คาดว่าปี 64 และ 65 จะพลิกกลับเป็นกำไรได้ นั่นคือ คาดการณ์กำไร 615 และ 1,252 ล้านบาท เทียบกับปี 63 ที่ขาดทุนถึง -1,046 ล้านบาท สืบเนื่องจากรายได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ แม้ว่าจะได้ให้ต่ำกว่าบริษัทตามที่กล่าวไว้ แต่คาดว่ารายได้รวมปี 64 และ 65 จะมีการเติบโตจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในอัตรา +34% และ +7% ตามลำดับ แม้ว่าจะให้อัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจประเภทต่าง ๆ ใกล้เคียงกับปี 63 ที่อยู่ภายใต้ไม่สดใสก็ตาม

อีกหนึ่งรายการที่ทำได้ดีคือ สัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับรายได้ให้ไม่สูงเป็น 24% ตามปี 63 ที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ซึ่งปกติอยู่ที่ระดับ 25.5-27.5% อีกทั้งกำไรตามส่วนได้เสียจากบริษัทร่วมทั้งธุรกิจที่อยู่อาศัย และถุงมือยาง คาดว่าปี 64 และ 65 เป็น +300 และ +568ล้านบาท เทียบกับปี 63 ที่ -132 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้สมมุติฐานว่าปี 64 และ 65 ไม่มีการตั้งค่าใช้จ่ายด้อยค่า ขณะที่ปี 63 บันทึกไว้ถึง 479 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจใหม่ที่น่าตื่นเต้นของกลุ่ม คือ ถุงมือยาง GRAND มีการร่วมทุนกับบริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมด จำกัด โดยเข้าถือหุ้น ประมาณ 50% ในบริษัทร่วมทุนชื่อ GGG แต่เนื่องจากเป็นส่วนของโรงงานแห่งที่ 1 และผลิตได้ไม่เต็มปีของปี 64 จึงคาดว่ารายได้ปีแรกเป็น 3 พันล้านบาท และเมื่อถึงปี 65 รายได้จะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท เพราะมีโรงงานแห่งที่สอง สร้างเสร็จและมาเพิ่มผลผลิตได้ ข้อดีคือ ทางบริษัทคาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 40% มีลูกค้าสั่งออเดอร์ล่วงหน้าแล้ว 6-8ราย และปัจจุบันราคาขายก็ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ราว 8เหรียญ ต่อ 100 ชิ้น ขณะที่ก่อนเกิดโควิดเป็นเพียง 5 เหรียญต่อ 100 ชิ้น แต่ตามประมาณการเราให้ต่ำกว่าบริษัทไว้ก่อน จากนี้ไปจึงต้องติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างใกล้ชิด

 

 

Back to top button