คัด 11 หุ้นเด่นไตรมาส 2 ฉายแววผลงานโตแกร่ง-ราคา Laggard
คัด 11 หุ้นเด่นไตรมาส 2 ฉายแววผลงานโตแกร่ง-ราคา Laggard
เริ่มเข้าสู่การลงทุนในช่วงไตรมาส 2/2564 ทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยอาศัยบทวิเคราะห์จากบล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งได้วิเคราะห์ไว้ดังนี้
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ภาพการลงทุนช่วงไตรมาส 2/64 ปีปัจจัยต้องจับตา คือ 1) การเร่งขึ้นของ US Bond Yields 10ปี จากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลก นำโดยสหรัฐฯที่มีนโยบายทางการคลังขนาดใหญ่สนับสนุน ทั้ง merican Rescue Plan วงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญฯ ที่อนุมัติไปแล้ว และ American Jobs Plan 2.34 ล้านล้านเหรียญฯ ที่คาดว่าจะผ่านสภาฯ ราวไตรมาส 3 นี้ ผสานราคาน้ำมันฟื้นตัว นำมาซึ่งคาดการณ์เงินเฟ้อแบบเร่งตัว จะนำมาสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น
รวมทั้ง 2) ค่า Equity Risk Premium (ERP) ที่ต่ำลงแตะ -2SD เกือบทุกตลาด สะท้อน Valuation ของตลาดหุ้นโลกตึงตัวเก็งกับความคาดหวังสูง (High PER) และ US Bond Yields 10ปีเร่งขึ้น (กรณีเกิน 2%) จะกดดันตลาดเสี่ยงต่อการปรับฐาน และ 3) วงจรการลงทุนในปัจจุบันคล้ายกับ เม.ย – ก.ย 2556 กล่าวคือ US Bond Yields 10ปี เริ่มฟื้นตัวจากฐานต่ำจุด +170bps ส่งผลให้ตลาดเอเชียปรับฐานในช่วงดังกล่าว 8% ขณะที่ตลาดอาเซียนลงแรงถึง 20%
ทั้งนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำ ทยอยลดน้ำหนักหุ้นไทยลง 10% เหลือ 40-45% , หุ้นต่างประเทศลดลง 5% เหลือราว 20-25%, และถือสินทรัพย์ปลอดภัยหรือทางเลือกอื่นๆ ราว 40-30% รอจังหวะตลาดพักฐานกลางไตรมาส ค่อยเพิ่มน้ำหนักหุ้น
สำหรับหุ้นเด่นไตรมาส 2/64 สลับมาเน้นหุ้นที่ได้ผลบวกจากวงจรเศรษฐกิจโลก หุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ผสานกลุ่ม Value & Laggard แนะนำ 1) กลุ่มที่กาไรฟื้นตัวตามวัฎจักรเศรษฐกิจ (TOP, SCC, HANA) 2) กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อแนวโน้มกำไรดี (CPF, TVO) 3) กลุ่ม Value (BBL, SPALI) รวมทั้ง 4) กลุ่มราคา Laggard ที่ผลประกอบการกำลังฟื้น (CPALL, BJC, BDMS) และ 5) กลุ่มที่มีปัจจัยเฉพาะตัว (SCGP)
โดย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ไม่น่ากังวล จากมีลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือน้อยสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการตั้งสำรองล่วงหน้าไปมากแล้วในปี 2563 ประเมินกำไรปี 2564 ฟื้นตัว 35% เมื่อเทียบจากปีก่อน เด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขณะที่ราคาซื้อขายบน P/BV เพียง 0.5 เท่า อีกทั้งยังเป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนน้ำหนักใน SET50 จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BBL ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 147 บาท/หุ้น
ส่วน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS เป็นบริษัทเอกชน และมีจุดแข็งจากการเป็นโรงพยาบาลที่ครอบคลุมทั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ รับประโยชน์จากโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น หนุนภาพการเติบโตระยะกลางถึงยาว คาดปี 2564 กำไรปกติกลับมาเติบโตเด่น 43% จากการทยอยเปิดประเทศ รวมถึงโอกาสธุรกิจด้านวัคซีนภาคเอกชน และเป็นหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่ง และเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ โดยซื้อขาย PER ปี 2565 ที่ 35 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ย 5 ปีราว 0.6 SD และเป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการเปลี่ยน้ำหนักใน SET50 จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BDMS ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 24.70 บาท/หุ้น
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เป็นหุ้นที่มีภาพธุรกิจแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากราคาสุกรที่อยู่ในระดับสูง และยังมี Upside Risk เพิ่มเติมจากการเพิ่มช่องทางขายผ่าน Lotus และธุรกิจกัญชง อีกทั้งเป็นหุ้นป้องกันเงินเฟ้อเหมาะสาหรับภาวะที่ bond yield สูงขึ้น และมี PER ต่ำเพียง 10 เท่า จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPF ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 35 บาท/หุ้น
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เป็นหุ้นกระแส Mega trend ที่เป็นผู้นาตลาดบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดใน South East Asia มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีเงินทุนจำนวนมากสำหรับขยายกำลังการผลิตและเข้าซื้อ กิจการเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและตลาดใหม่ๆ ประเมินกำไรปกติปี 2564 เติบโต 26% ขณะที่หุ้นซื้อขาย PER 23 เท่า ยังเหมาะสมกับธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดอาเซียน มี Track record M&A ดี และเติบโตไปกับกระแส Ecommerce และ Food delivery จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCGP ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 53 บาท/หุ้น
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นบริษัทที่ดูปลอดภัย ทั้งในด้านฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฯ มีอัตราทำกำไรสูง และคุณภาพ backlog อีกทั้งมีแนวโน้มการเพิ่ม market share ทั้ง low-rise และ condo ได้ ต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิปี 2564 เติบโต 39% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมีโมเมนตัมโตเมื่อเทียบจากปีก่อนในทุกไตรมาส โดยมี backlog รอโอนในปี 2564 สูงถึง 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายบน PER เพียง 7 เท่า และ div yield อยู่ที่ 5% เป็นโอกาสสะสมรองรับการเติบโตสูง จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SPALI ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 25 บาท/หุ้น
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ภายใต้ Demand ที่สูงขึ้นหลังมีวัคซีน จะช่วยหนุน Spread ปิโตรเลียม (Gasoline/ GO/ LSFO) ส่งผลดีต่อค่าการกลั่น ขณะที่ภาวะ Oversupply ฝั่งอะโรเมติกส์ลดลงมากแล้ว โดยรวมคาดผลประกอบการรวมจะพลิกกลับมาทำกำไรในปี 2564 ที่ 5.5 พันล้านบาท จากขาดทุนในปี 2563 และยังเป็นหุ้นกลุ่มนำใน Commodity ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อ ในภาวะกังวล bond yield สูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันโซน 70 เหรียญ เป็น upside risk ต่อประมาณการตลาด ซึ่ง TOP ได้ประโยชน์จาก Stock gain มากที่สุด จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOP ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 68 บาท/หุ้น
บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO เป็นผู้ผลิตกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมี market share อยู่ที่ 75% ของน้ามันถั่วเหลืองไทย และ 25% ของกากถั่วเหลืองไทย โดยรายได้หลักบริษัทมาจากกากถั่วเหลือง 61% ขณะที่ราคาถั่วเหลืองอยู่ระดับ new high ในรอบ 5 ปี หนุนราคากากถั่วเหลืองเพิ่ม ในขณะที่ TVO ได้ประโยชน์จากการมีการล๊อคต้นทุนถั่วเหลืองที่ราคาต่ำ โดยคาดกำไรปี 2564 โตสูง 21% เมื่อเทียบจากปีก่อน อีกทั้งเป็นหุ้น commodity และ ปันผลสูง dividend yield 6% ป้องกันเงินเฟ้อในภาวะ bond yield สูงขึ้น จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TVO ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 38.40 บาท/หุ้น
บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ประเมินกำไรโดดเด่นมากในครึ่งแรกของปี 2564 จากการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากภาวะความต้องการ semiconductor เติบโตตามกลุ่ม telecom และรถยนต์, การเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานอยุธยา 25-30% ในปีนี้, สามารถปรับราคาขายตามราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นได้ และยังสามารถควบคุม SG&A ได้เป็นอย่างดี คาดกำไรปกติไตรมาส 1/64 ที่ 560 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2564 เติบโต 22% ที่ 2,325 ล้านบาท อีกทั้งเงินบาทมีสัญญาณอ่อนค่า และเป็น Top Pick ของกลุ่ม จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น HANA ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 72 บาท/หุ้น
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ภาพการบริโภคจะทยอยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/64 จากการกระจายวัคซีน, การเปิดเมืองและความเชื่อมั่นต่อการใช้จ่าย ประเมินกำไรปี 2564-2565 จะกลับมาบวกราว 30% ต่อปี จากทุกธุรกิจ (BIGC, Packaging, Consumer) ทั้งนี้มองมาตรการกระตุ้นการบริโภคยังมีต่อเนื่อง จากเป้าหมายภาครัฐที่วางเป้าเศรษฐกิจปีนี้เติบโตสูงราว 4%+- เทียบกับของตลาดที่ 3% +- และยังเป็นหุ้น Laggard ในกลุ่มฯ ที่น่าสนใจ จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BJC ประเมินราคาเป้าหมายที่ 45 บาท/หุ้น
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC คาดกำไรปกติ 2564 ราว 44,124 ล้านบาท เติบโต 24% เมื่อเทียบจากปีก่อน ฟื้นตัวดีจากธุรกิจซีเมนต์ demand ในประเทศฟื้นตัวจาก COVID-19 และมีความต้องการเพิ่มจากโครงการก่อสร้างภาครัฐ, ธุรกิจเคมีภัณฑ์เติบโตจากไม่มีปิดซ่อม MOC (38 วัน) เหมือนปี 2563 มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ขยายเพิ่มราว 5% และ spread ปิโตรเคมีฟื้นต่อเนื่อง ตาม demand ทั่วโลกฟื้นตัว เหนือ new supply และธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง ปริมาณขายเติบโตจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายกำลังการผลิตในอินโดนีเซีย ประกอบกับอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากส่วนของ Fibrous chain ทั้งนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลราว 8.50 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 8 เม.ย.2564 คิดเป็น yield ราว 2.1% อีกทั้งเป็นอีกหนึ่งหุ้นทีน่าสนใจในธีม Cyclical และเป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนน้ำหนักใน SET50 จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCC ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 420 บาท/หุ้น