เปิด 5 หุ้น SET100 วิ่งแรงในรอบ 3 เดือน JMART นำทีมโกยรีเทิร์นสูงสุด 113%
เปิด 5 หุ้น SET100 วิ่งแรงในรอบ 3 เดือน JMART นำทีมโกยรีเทิร์นสูงสุด 113%
ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เดือนมี.ค.64 ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 64 SET Index ปิดที่ 1,587.21 จุด เพิ่มขึ้น 9.5% จากสิ้นปี 63 และในเดือน มี.ค.64 เป็นเดือนแรกที่ SET Index กลับมาอยู่ระดับเดียวกับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 ได้แก่ ธุรกิจการเงิน เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม บริการ สินค้าอุปโภคบริโภค และอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ขณะที่ในเดือน มี.ค.64 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 6% จากเดือนก่อนหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดย MSCI ASEAN Index ปรับลดลง 0.6% สาเหตุหนึ่งมาจากความคืบหน้าการกระจายวัคซีนและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในหลายประเทศ ทำให้ภาคส่วนต่างๆ คาดว่าจะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ประกอบกับมีการปรับพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันจากอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากโควิด-19 หุ้นเติบโต หรือ Growth Stock ไปยังอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นคุณค่า หรือ Value stock
จากภาวะดังกล่าวทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคากลุ่ม SET100 ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 มานำเสนอโดยเทียบราคาหุ้น ณ วันที่ 31 ธ.ค.2563-วันที่ 31 มี.ค.2564 ซึ่งครั้งนี้คัดเลือกมานำเสนอเพียง 5 อันดับแรกของกลุ่มที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงนั้นคือ JMART,RBF,STA,RS และ COM7 ตามตารางประกอบดังนี้
สำหรับอันดับ 1 บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 113.75% จากระดับ 20.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 42.75 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.64 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่ง เนื่องจากทำกำไรเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องและปีนี้มีแนวโน้มทำ All Time High ต่อเนื่องอีกปี
โดนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจว่าในปี 2564 ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มจะสามารถทำกำไร All Time High ได้ต่อเนื่องอีกปี โดยวางเป้าหมายปี 2564 กำไร JMART จะเติบโต 50% ซึ่งยังไม่รวมธุรกิจใหม่ที่กลุ่มบริษัทจะต่อยอดการเติบโตในช่วงต่อจากนี้ และการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อสร้าง Business Model ให้เป็นลักษณะ J-Curve ภายหลังจากการปิดดีลร่วมทุนใหญ่กับพันธมิตรระดับโลก ทั้ง เคบี คุกมินการ์ด บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตเบอร์ต้นจากเกาหลีใต้ และ TIS Inc จากญี่ปุ่น ติดปีกทั้งทางด้านเงินทุน และเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก
นอกจากนี้ ในปี 2564 ในกลุ่มเจมาร์ท ยังเปิดตัวแผนการลงทุนใหม่ 2 โครงการเพื่อต่อยอดธุรกิจให้บริการทั้งด้านค้าปลีกและการเงิน โดยเน้นเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยโครงการแรกคือ แผนการเข้าลงทุนขยายกิจการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเจมาร์ท ทั้งหมดภายในประเทศ เช่น หน้าร้านของเจมาร์ท กว่า 200 สาขา สาขาของซิงเกอร์ ที่คาดจะมีกว่า 7,000 สาขาภายในปีนี้ รวมถึง สาขาของ IT Junction และ JMT โดยมีการลงทุนในพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นบริษัทที่มีโครงข่ายระบบโลจิสติกส์เข้ามาเชื่อมโยงจุดต่างๆ ของสาขา และการรับส่งสินค้าภายในกลุ่มจะทำให้ง่ายขึ้นด้วยปลายนิ้วสัมผัสของลูกค้า และงบประมาณเงินลงทุนที่ต่ำสำหรับกลุ่มเจมาร์ท เนื่องจากไม่ต้องลงทุนสาขาและทรัพยากรบุคคลและสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งให้กับกลุ่มบริษัท ภายใน Ecosystem ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อีกทั้ง JMT จะเป็นผู้จัดหาทรัพยากรในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน จาก NPA ในระบบ เพื่อสร้างผลตอบแทนของการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับการสร้าง Logistic Hub ของการดำเนินการดังกล่าว และอยู่ภายใต้การพัฒนา Logistic Platform ทางด้านเทคโนโลยีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และพาร์ทเนอร์
นอกจากนี้ กลุ่มเจมาร์ท ยังเตรียมรุกธุรกิจนายหน้าประกันภัย และการเงิน (Centralized Insurance and Finance Broker) จากจุดแข็งของกลุ่มเจมาร์ท ที่มีฐานข้อมูลลูกค้าในระบบราว 6.7 ล้านคน และกลุ่มเจมาร์ทมีธุรกิจประกันภัย ได้แก่ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเสริมแกร่งด้วยเทคโนโลยีจาก บริษัท เจเวนเจอร์ส จำกัด และ TIS Inc. ผลักดันให้กลุ่มเจมาร์ทรุก InsurTech คาดว่าจะเห็นภาพชัดภายในไตรมาส 4/64
อันดับ 2 บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 94.62% จากระดับ 9.30 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 18.10 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.64 คาดเป็นผลมาจากแนวโน้มธุรกิจเติบโตโดดเด่นและนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า RBF ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 โต 10-15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวของสินค้าเดิมและเตรียมขายสารเทอร์ปีนในไตรมาส 2/2564 ส่วนแผนธุรกิจกัญชงอยู่ระหว่างขออนุญาตโรงสกัด และปลูก (อาจถึง 500 ไร่) ร่วมกับการสนับสนุนเกษตรกรเครือข่าย
โดยล่าสุดติดต่อซื้อเมล็ดจากผู้ที่ได้รับอนุญาตนำเข้าเมล็ด 1 ใน 7 รายแล้ว คาดจะรับรู้รายได้ CBD อย่างเร็วในปี 25665 ด้วยเป้าหมายรายได้ 1.2 พันลบ.หากปลูกได้ 2 Crop ต่อปี ทั้งนี้ยังไม่รวม CBD ในประมาณการ โดยยังคาดกำไรสุทธิปี 2564-2565 โต 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 53% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน(รวมเทอร์ปีนแล้ว) และคงราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 17 บาท และหากรายได้ CBD เป็นไปตามเป้า ประมาณการกำไรจะมี Upside ราว 25% และราคาเป้าหมายจะอยู่ที่ 21 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”
อันดับ 3 บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 76.42% จากระดับ 26.50บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 46.75 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.64 คาดเป็นผลมาจากแนวโน้มธุรกิจเติบโตโดดเด่นและนักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน
ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 65 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของกำไรของ STA ระยะยาวค่อนข้างมาก หลังจากที่บริษัทประกาศที่จะลงทุนในธุรกิจกัญชงซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเพิ่มกำไรให้กับบริษัทอย่างมีนัยนะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ต่อยอดจากธุรกิจถุงมือยาง (ถือ 56% ในบริษัท STGT ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ที่ทำให้กำไรบริษัทเติบโตดีตั้งแต่ 2563-2566
โดย STA มีศักยภาพและความพร้อมมากที่จะทำธุรกิจกัญชง เทียบกับบริษัทอื่นๆ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูก และเป็นธุรกิจที่มีผลตอบแทนสูงที่รัฐบาลให้การส่งเสริมมาก โดยสามารถนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมเช่น อาหาร, ยา, เครื่องดื่ม และ ผลิตภัณฑ์ความงามปัจจุบัน STA อยู่ระหว่างยื่นขอในอนุญาตปลูกกัญชง โดยบริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้ปลูกกัญชงรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจะเริ่มต้นปลูกกัญชงเฟสแรก 100-200 ไร่ ในปี 2564 และมีแผนจะขยายเป็น 2,000 ไร่ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ยังปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้น 61%/50% โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 16,137 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และปี 2565 ที่ 14,959 ล้านบาท (ลดลง 7% เมื่อเทียบจากปีก่อน) สะท้อนกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้นของธุรกิจถุงมือยาง (STGT) เป็นหลัก จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกำไรจากธุรกิจกัญชงเล็กน้อย
โดยคาดว่าธุรกิจกัญชงจะสร้างกำไรให้กับบริษัทอย่างมีนัยนะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป เบื้องต้นสมมุติฐานเคทีบีเอสที เพิ่มธุรกิจปลูกกัญชงเข้าไปในปี 2564 จำนวน 150 ไร่/crop/ปี และ ปี 2565 จำนวน 300 ไร่/2crops/ปี และ 2,000 ไร่ ภายในปี 2568
อันดับ 4 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 67.63% จากระดับ 17.30 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 29.00 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.64 คาดเป็นผลมาจากแผนธุรกิจที่โดดเด่นและแนวโน้มผลงานปีนี้เติบโตสดใส
โดยนายวิทวัส เวชชบุษกร RS เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าสู่ธุรกิจกัญชงในส่วนของปลายน้ำ โดยผลิตสินค้าต่าง ๆ ออกสู่ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการเจรจากับโรงสกัด และโรงผลิตหลายราย และอยู่ระหว่างลงนามในสัญญาร่วมกัน
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างรอองค์การอาหารและยา (อย.) ประกาศกฎหมายลูกที่สามารถใช้กัญชงเป็นส่วนผสม ในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่บริษัทสนใจ เช่น สกินแคร์, เครื่องดื่ม อาหารเสริม และอาหารสำหรับสุนัขและแมว หลังจาก อย.อนุมัติขั้นต้นให้สามารถนำกัญชงมาเป็นอาหารไปก่อนหน้านี้ คาดว่าบริษัทจะออกสินค้าใหม่ที่มีส่วนประกอบ ของกัญชงไม่ต่ำกว่า 4 SKU ภายใน 3-6 เดือน หลัง อย.ประกาศกฎหมายลูก
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทเตรียมออก 6 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ “S.O.M.”, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ “ไวตาเนเจอร์พลัส”, ยาสมุนไพรแผนโบราณภายใต้แบรนด์ “ทองเอก”, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “well u” (เวลยู), Functional Drink และอาหารสุนัขและอาหารแมว คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
รวมทั้งการที่ บริษัท อาร์เอสเอ็กซ์ จำกัด (RSX) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ของทุนจดทะเบียน เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 2,744,773 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท หรือสัดส่วน 35% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (Chase) ภายหลังการเพิ่มทุน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 920 ล้านบาท คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีความชัดเจนในการออกผลิตภัณฑ์หรือบริการมากขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของ RS Mall จะขยายไปยังช่องทีวีดาวเทียมมากขึ้น และเตรียมเปิด RS Mall app ในเดือน เม.ย.2564 รวมทั้งเปิดเว็บไซต์ COOLanything ในเดือน มิ.ย. 2564
ทั้งนี้ มั่นใจว่ารายได้ในปี 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ที่ 5,700 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจพาณิชย์ จำนวน 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็น RS Mall อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และการออกสินค้าใหม่ อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ยังไม่รวมสินค้าประเภทกัญชง
ส่วนธุรกิจสื่อและบันเทิง จำนวน 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นช่อง 8 อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท, วิทยุ อยู่ที่ 200 ล้านบาท, เพลง 300 ล้านบาท และคอนเสิร์ต-อีเวนต์ อยู่ที่ 200 ล้านบาท มีแผนจัด 7 คอนเสิร์ต ในปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50-52% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12-14% และยังหาโอกาสในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจ เพื่อมาเสริมอีโอซิสเต็มส์ของบริษัทให้ครบวงจรมากขึ้น
อันดับ 5 บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ราคาหุ้นในช่วง 3 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 64.10% จากระดับ 39.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 64.00 บาท ณ วันที่ 31 มี.ค.64 คาดนักลงทุนเก็งกำไรผลการดำเนินงานปีนี้สดใส และคาดไตรมาส 1/2564 ออกมาโตแรง
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ โดย แนะนำเป็น “ซื้อ” COM7 ด้วยมูลค่าเหมาะสม 66.25 บาท โดยมีปัจจัยบวกจาก 1) คาดผลประกอบการไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 483 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 68% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยจากความต้องการสินค้าทั้ง Apple และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สูงต่อเนื่อง 2) การเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกสินค้าไอทีที่จะเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี 4G เป็น 5G ซึ่งจะสร้างความต้องการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมถึงสินค้าเกี่ยวเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน