“เอเชีย เวลท์” คาด NOBLE ฟาดกำไรไตรมาส 1/64 กว่า 450 ลบ. รับยอดโอนพุ่ง
“เอเชีย เวลท์” คาด NOBLE ฟาดกำไรไตรมาส 1/64 กว่า 453 ลบ. เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับปีก่อน โดยจากยอดโอนที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.90 บาท
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์กรณีของ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ในส่วนของการคาดการกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 29% จากไตรมาสก่อน
โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนมาจากในส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้น 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 2,489 ล้านบาท หลังมีการโอนโครงการต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2563 อาทิ NOBLE BE19 NUE แจ้งวัฒนะ และ NOBLE Around สุขุมวิท 33 รวมทั้งเริ่มมีการโอนโครงการที่แล้วเสร็จใหม่ได้แก่ NOBLE Ambience สุขุมวิท 42 ราว 200-300 ล้านบาท (มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท)
ประกอบกับ SG&A/Sales ที่ลดลงเหลือ 15.0% เทียบกับ 15.6% ในไตรมาส 1/2563 ซึ่งเกิดจากยอดโอนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิด Economy of Scale ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยเหลือ 39.2% เทียบกับ 40.5% ในไตรมาส 1/2563หลังบริษัทมีการออกแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อปิดโครงการ
นอกจากนี้ NOBLE มียอด Presales ในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 150% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการ เปิด 2 โครงการใหม่ ได้แก่ NOBLE Form ทองหล่อ และ NUE NOBLE เซ็นทรัลบางนา รวมมูลค่า 6,100 ล้านบาท ซึ่งมียอด Presales จำนวน 1,150 ล้านบาท
ทั้งนี้ยอด Presales ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/2564 กว่า 1,300 ล้านบาท ยังมาจากโครงการ Ready to Move ซึ่งจะช่วยให้ บริษัทรับรู้รายได้ภายใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า ขณะที่ 9 โครงการที่จะเปิดตัวในช่วงที่เหลือของปี 2564 ยังเป็นไปตามแผน มีเพียง 1-2 โครงการ ที่จะเปิดในไตรมาส 2/2564 อาจจะเลื่อนเปิดออกไป 1-2 เดือน เนื่องจากในช่วงเวลาปัจจุบันมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
อย่างไรก็ตามจากผลดังกล่าวทาง บล.เอเชีย เวลท์ ระบุ ยังคงชื่นชอบบริษัทและเลือกเป็น Top Picks ในกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ เนื่องจาก 1) ความเป็นผู้นำในตลาด Oversea ซึ่งประเมินว่าหากมีการเปิดประเทศจะมี Pent Up Demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะเข้ามาซื้อโครงการในเมืองไทย ประกอบกับหากภาครัฐฯมีการปรับเกณฑ์สัดส่วนการถือครองคอนโดของชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น เชื่อว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวอย่างมาก เนื่องจากมีความชำนาญในตลาด Oversea
2) โอกาสในการเติบโตของฐานรายได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในปี 2565-2566 หลังโครงการที่เปิดตัวในปี 2564 กว่า 11 โครงการ จะทยอยแล้วเสร็จ
3) แผนการลงทุน ในอสังหาฯ ในต่างประเทศ โดยจะช่วยเร่งการเติบโตของรายได้ของบริษัทในอนาคต
4) บริษัทมีแผนการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงและสม่ำเสมอ ซึ่งปี 2564 คาดไว้ที่ 0.82 บาท ต่อหุ้น
ดังนั้นจากผลดังกล่าวทำให้คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 9.90 บาท