5 โบรกเชียร์ “ซื้อ” PTTEP เป้าสูง 160 บ. ขานรับกำไร Q1 สุดแกร่ง จับตา Q2 โตต่อ

5 โบรกเชียร์ "ซื้อ" PTTEP ให้ราคาเป้าหมายสูง 160 บาท ขานรับกำไรไตรมาส 1/64 สุดแกร่ง จับตาผลงานไตรมาส 2/64 โตต่อเนื่อง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยพบว่ามีนักวิเคราะห์หลายแห่งกำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ระดับ 160 บาทต่อหุ้น

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า PTTEP รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 357% จากไตรมาสก่อน, +34% จากปีก่อน ดีกว่าคาด หลักๆ เป็นเพราะบันทึกกำไรจากการซื้อสัดส่วนเงินลงทุน Oman Block 61 ในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อหักขาดทุนจากการ Write-off แหล่งผลิตในประเทศบราซิล 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดทุนจากธุรกรรมป้องกัน ความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันและผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนรวม 111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรปกติจะอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท +64% จากไตรมาสก่อน, -5% จากปีก่อน ใกล้เคียงกับที่คาด

พร้อมกันนี้ประเมินราคาเหมาะสมปี 64 ด้วยวิธี DCF อยู่ที่ 122.00 บาท โดยแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่คาดว่าทรงตัวระดับสูง อย่างไรก็ตามติดตามการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ส่วนความเสี่ยงจากการเข้าพื้นที่แหล่งผลิตเอราวัณล่าช้า บริษัทคาดว่าจะสามารถเร่งการผลิตจากแหล่งอื่นในอ่าวไทยเข้ามาชดเชย รวมถึงมีส่วนที่ Offset ของโครงการ Oman Block 61 ที่รับรู้เข้ามาเพิ่ม ส่วนการประกาศ Force Majeure โครงการ Mozambique LNG คาดไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ

ด้าน บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2564 ใหม่ที่ 136.00 บาท (เดิม 140.00 บาท) อิงวิธี DCF (WACC 6.7%, TG 0%) บนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยระยะยาว ที่ USD55/bbl โดยฝ่ายวิจัยชอบเรื่องราวการฟื้นตัวของกำไรที่น่าสนใจของ PTTEP ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยปริมาณยอดขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการรับรู้โครงการใหม่ และ M&A

อีกทั้งเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบที่ยืนในระดับสูงจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น ซึ่งมี positive correlation กับราคาน้ำมันดิบได้ นอกจากนี้ ราคาเป้าหมายยังมี upside จากโครงการ Sarawak SK410B (กำลังการผลิตเบื้องต้น 600-800 mmscfd) ที่ยังรอประกาศ FID ซึ่งวางแผนไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 อีกด้วย อย่างไรก็ดีอาจจะมีปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจในต่างประเทศกดดันราคาหุ้นได้ในระยะสั้น

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุคำแนะนำ “ทยอยซื้อปรับราคาพื้นฐานเป็น 124 บาท โดยมองว่าแนวโน้มไตรมาส 2564 แม้คาดกำไรอาจอ่อนลงจากไตรมาสก่อน แต่ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นราว 8% จากไตรมาสก่อน ราคาทรงตัวทำให้การดำเนินงานปกติยังดีขึ้น และการดำเนินงานดีกว่าคาดทำให้ปรับกำไรเพิ่มจากเดิมจากปริมาณขายเพิ่มและต้นทุนลดลง

ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับประมาณการกำไรปี 2564 และ 2565 ขึ้น 54% และ 33% เป็น 4.1 หมื่นล้านบาท และ 5.7 หมื่นล้านบาทตามลำดับ

โดยปี 2564 เป็นกำไรปกติที่ 3.8 หมื่นล้านบาท เป็นการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันจาก USD55/bbl เป็น USD60/bbl และปริมาณขายปรับเพิ่มจาก 375 KBOED เป็น 405 KBOED (Fig 2) และปรับราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นเป็น 155.00 ด้วยสมมติฐานราคาน้ำมันที่ USD60/bbl และประมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ Oman

ด้าน บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 160 บาท พร้อมมองแนวโน้มกำไรจะเร่งตัวในไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยราคาเป้าหมายเทียบเท่า 15.0 เท่า FY21F PE หรือส่วนเพิ่ม 20% จากระดับ PE ในปี 2561-62 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ US$69.4 และ US$63.5 ตามลำดับ ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่ US$68/bbl โดยให้ส่วนเพิ่ม 20% ต่อ PE เพิ่มสะท้อนปริมาณขายที่เติบโตขึ้น 12%/22% ใน FY ปี 64-65

Back to top button