2 โบรกฯ ฟันธง NER กำไร Q1/64 โตแรง รับยอดขายพุ่ง-รุกขยายกำลังการผลิต
"บล.ฟิลลิป-บล.เคทีบีเอสที" มองแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/64 หุ้น NER โตแรง รับยอดขายพุ่ง-รุกขยายกำลังการผลิต มั่นใจยอดขายทั้งปีตามเป้า 400,000 ตัน
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ทิศทางกำไรสุทธิ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ในไตรมาส 1/64 จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนตามปริมาณการขายที่ปรับตัวดีขึ้น 41% หลังจากมีการขยายกำลังการผลิตในโรงงานใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตามบริษัทยังได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้นมากทำให้การส่งมอบต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ราว 10% หรือมีปริมาณการขายที่ราว 90,000 ตัน
ทั้งนี้ ยังคงมั่นใจว่ายอดขายทั้งปีจะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้กว่า 400,000 ตัน จะเป็นไปได้ตามเป้าหมาย แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกปริมาณการขายอาจจะต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ในขณะเดียวกันแนวโน้มราคายางยังคงปรับตัวดีขึ้น และภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวจะช่วยหนุนทิศทางผลยังสามารถเติบโตได้
ด้าน นายมงคล พ่วงเภตา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ราคาหุ้น NER ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นได้แรงและเร็วได้รับปัจจัยหนุนหลักๆ มาจาก 2 ปัจจัยคือ ผลกำไรปกติไม่รวมกับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงไตรมาส 1/64 ปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดี และยังชนะการประมูลและลงนามซื้อขายยางในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จำนวน 104,763.35 ตัน ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินกลยุทธ์ในการเพิ่มกำลังการผลิตยางอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 465,000 ตันต่อปี และจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตันต่อปี ใน่ชวงไตรมาส 3/64 ซึ่งปัจจุบันราคายางเริ่มกลับมาเป็นช่วงขาขึ้น ซึ่ง Sentiment เชิงบวกจากการที่ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มลดลงด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันจะเห็นว่าราคาสินค้าในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เริ่มกลับมาฟื้นตัวจากความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 และธีมการลงทุนก็เริ่มหันมาสู่กลุ่ม Commodity มากขึ้น ซึ่งเรายังมองว่าราคาหุ้น NER ไปได้ แม้ว่าระหว่างทางจะมีย่อตัวจากแรงขายทำกำไรบ้างเป็นเรื่องปกติ
ด้านราคาหุ้น NER วันที่ 29 เม.ย.2564 ล่าสุด ณ เวลา 16.27 น. อยู่ที่ระดับ 6.05 บาท ปรับตัวลดลง 0.05 บาท หรือ 0.82% สูงสุดที่ระดับ 6.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 271.37 ล้านบาท