3 โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” GLOBAL รับยอดขายโตช่วง WFH หนุนกำไรไตรมาส 2 พุ่งต่อ
3 บริษัทหลักทรัพย์แนะนำ "ซื้อ" GLOBAL หลังประกาศกำไร Q1/64 โตแกร่ง ทำนิวไฮ หลังยอดขายโตรับ WFH แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 พุ่งต่อ
นายอำนาจ โงสว่าง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ในไตรมาส 2/64 มองว่ายังมีทิศทางเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีก่อนมีการล็อกดาวน์ อีกทั้งยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ของกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในเดือนเม.ย.64 เติบโตสูงถึง 70% ได้รับอานิสงส์จากคนส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านมากขึ้น ทำให้มีการตกแต่ง ซ่อมแซม และต่อเติมที่อยู่อาศัยกันค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม GLOBAL เป็นหุ้นที่เด่นกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มฯ เนื่องด้วยมีสาขากระจายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนมาก รวมถึงด้วยราคเหล็กที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็น่าจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นก็ยังมีอัพไซต์ หลังมีการรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/64 ทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโต 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 156% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าตลาดคาดถึง 23%
ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้นมาอยู่ที่ 2.98 พันล้านบาท เติบโต 52% จากปีก่อน จากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโต 6% เป็นไปตาม SSSG ที่ปรับขึ้นเป็นเติบโต 8% จากปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาที่ระดับ 24.5% ขณะเดียวกันได้ปรับ SG&A/sales ลงสู่ระดับปกติที่ 14.5%
“เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ เนื่องจากคาดการเติบโตของผลประกอบการจะเร่งตัวขึ้นในปีนี้ จาก GLOBAL เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งทำให้หลายบริษัทมีมาตรการ work from home หนุนให้คนหันมาตกแต่ง ซ่อมแซมที่พักอาศัยมากขึ้น และบริษัทสามารถปรับสัดส่วน house-brand ขึ้นมาได้ตามเป้า และการควบคุมต้นทุนการขายที่ดีทำให้อัตราการทำกำไรปรับขึ้นชัดเจน” นายอำนาจ กล่าว
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 2/64 เป็นบวกค่อนข้างมาก เนื่องจากฐานต่ำในไตรมาส 2/63 ซึ่งมีการปิดสาขาบางส่วนในช่วงล็อกดาวน์ทำให้ SSSG ไตรมาส 2/63 ติดลบถึง 20% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มทรงตัวสูงใกล้กับไตรมาส 1/64 จากสินค้า House brand ที่มีสัดส่วนสูง และได้อานิสงส์จากการที่ราคาเหล็กยังสูง รวมทั้งประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จึงประเมินว่ากำไรไตรมาส 2/64 จะแข็งแกร่งต่อเนื่องโดยเติบโตอย่างมีนัยยะเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้น 6% และ 5% ตามลำดับ โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโต 39% เป็น new high ที่ 2,728 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 8.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 7.3% ในปี 62 (ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19) ขณะที่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่ง คาดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.7 เท่า
ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า GLOBAL ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้นอีก 10% ราคาเหล็กขึ้นมา ~50% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากจีน หลังจากที่มีการใช้มาตรการกระตุ้นการนำเข้าเหล็กเพื่อลดการผลิตเหล็กดิบในประเทศ ดังนั้น แนวโน้มราคาเหล็กที่สูงต่อเนื่องจะช่วยหนุนทั้งยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นของ GLOBAL จึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้นอีก 10% เพื่อสะท้อนถึง SSSG ที่เพิ่มขึ้น 1-2% (เป็น 10% ในปี 64 และ 4% ในปี 65) และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 50-60bps รวมถึงสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายที่ลดลง 40bps
ทั้งนี้เนื่องจากกำไรปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 44% และ แนวโน้มกำไรที่คาดจะเติบโตจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนทุกไตรมาสในปีนี้ จึงปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 65 จากเดิมที่ 23.50 บาท เป็น 27.00 บาท