คัด 12 หุ้นกลุ่มยานยนต์ราคากระฉูดเกิน 10% รับปัจจัยบวกแนวโน้มอุตฯโตต่อ!

เปิดรายชื่อ12 หุ้นกลุ่มยานยนต์ ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีกระฉูดเกิน 10%  แนวโน้มผลงานปี 64 โตรับปัจจัยบวกอุตฯยานยนต์โตสวนภาวะเศรษฐกิจ


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม/ยานยนต์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ต้นปี 2564

ขณะที่ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีแนวโน้มการเติบโต สวนภาวการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงคาดการณ์ว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/2564 และในปีงวดปี 2564 จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นตาม

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ สถาบันยานยนต์ ได้มีการสรุปสภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปี 2563 ว่าประเทศไทยมีปริมาณการผลิตรถยนต์ 1,427,27 คัน โดยมีปริมาณส่งออก 735,842 คัน ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามปริมาณดังกล่าวยังเป็นไปตามที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์คาดการณ์ไว้

ขณะที่ปัจจัยต่างๆ ส่งผลให้สถาบันยานยนต์ คาดการณ์ปริมาณการผลิตรถยนต์ในปี พ.ศ. 2564 จำนวน 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ประกอบด้วยการส่งออก 750,000 คัน เพิ่มขึ้น  2 %  จากสภาพเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่กำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการจำหน่ายในประเทศ 750,000 คัน ลดลง  3 % จากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่ และสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น

ด้าน ฝ่ายวิจัยกรุงศรี มองแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2564-2566 การผลิตรถยนต์ของไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัว 3-4%  โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่  ยอดขายในประเทศที่จะมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3-4% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าความต้องการรถเพื่อการพาณิชย์จะขยายตัวดีอานิสงส์จากการขยายตัวของภาคก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ และธุรกิจโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของยอดขายมีแนวโน้มจำกัด เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ

ขณะที่ตลาดส่งออกรถยนต์นั้น คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4-5%  โดยมีปัจจัยหนุนมาจากเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัว อีกทั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนช่วยหนุนการส่งออกในภูมิภาค ตลอดจนการจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ในภูมิภาคอาเซียนเกี่ยวกับผลตรวจสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์และชิ้นส่วนจะช่วยลดขั้นตอนการถูกตรวจสอบซ้ำ   ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ประกอบไปด้วย ความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ (หนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญ) อาจขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากไทยเพื่อตอบโต้ข้อพิพาททางการค้า (กรณีไทยกล่าวหาฟิลิปปินส์สำแดงราคาบุหรี่นำเข้าต่ำเกินจริง ซึ่ง WTO ตัดสินให้ไทยแพ้คดี) รวมทั้งรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอาจกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกมายังหน่วยธุรกิจต่างๆของอุตสาหกรรมยานยนต์ ในส่วนของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ หรือ ดีลเลอร์ คาดว่าในช่วง 3 ปี (2564-2566)รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตจำกัด โดยรายได้จากการจำหน่ายรถยนต์ใหม่จะขยายตัวตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ (คาดเติบโตเฉลี่ย 3-4% ต่อปี)

สำหรับบจ.ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2563 จนถึง 10 พ.ค.2564 มีทั้งหมด บจ. ประกอบด้วย ACG ,TNPC ,INGRS ,CWT ,TKT ,AH, HFT, IHL, IRC, EASON ,SAT และ PCSGH

นอกจากนี้ “ผู้สื่อข่าว” ได้นำราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชีต่อหุ้น (P/BV) และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) มาประกอบด้วย โดยหุ้นที่ P/BV ต่ำแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนมูลค่าทางบัญชี เท่ากับว่าหุ้นเหล่านี้ ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ขณะที่คัดเลือกหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า SET ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 40.52 เท่า

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

Back to top button