TOP รับ “สต๊อกเกน” หนุนผลงานไตรมาส 1 พลิกกำไร 3.4 พันลบ.
TOP รับ "สต๊อกเกน" หนุนผลงานไตรมาส 1 พลิกกำไร 3.4 พันลบ. จากปีก่อนขาดทุน 1.4 หมื่นลบ.
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มลดลงจากการปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และมีปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ลดลง ส่งผลให้มีรายได้จากการขายลดลง 3,120 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก Crude Premium ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดและน้ำมันดีเซลจะปรับลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะที่มีกำไรขั้นต้นจากกลุ่มอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ตลาดสาร LAB ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ที่ดีในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากอุปทานที่ตึงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 4,656 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 10,772 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 ประกอบกับมีการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือ น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 109 ล้านบาท ในขณะที่มีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 3,480 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA เพิ่มขึ้น 20,520 ล้านบาท เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน ที่ลดลง 289 ล้านบาท จากการรวมต้นทุนการกู้ยืมเป็นส่วนหนึ่งของราคาทุนของสินทรัพย์ และหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทย ออยล์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17,114 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ตามที่บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับการปรับสัดส่วนและโครงสร้างการถือหุ้นในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การจำหน่ายหุ้น ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่บริษัทฯ ถืออยู่โดยตรงทั้งหมดให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จำนวน 251,173,540 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 8.91 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC
และขั้นตอนที่ 2 การรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด (TP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 74.0 ของหุ้นทั้งหมดของ TP และ PTT ถือหุ้นในสัดส่วนที่เหลือร้อยละ 26.0 ของหุ้นทั้งหมดของ TP
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างฯ แล้ว โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้นของ GPSC ที่บริษัทฯ ถืออยู่โดยตรง ทั้งหมดให้แก่ PTT ภายใต้ธุรกรรมการจำหน่ายหุ้น เป็นราคารวมทั้งสิ้นประมาณ 16,757 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ รับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนใน GPSC จำนวน 5,801 ล้านบาทใน Q4/63 และเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทฯ ได้รับโอนกิจการทั้งหมดจาก TP ภายใต้ธุรกรรมการรับโอน กิจการทั้งหมด
โดยบริษัทฯ มีกระแสเงินสดจ่ายทั้งสิ้น 13,022 ล้านบาทในไตรมาส 1/64 ภายหลังจากธุรกรรมดังกล่าวบริษัทฯ ถือหุ้นโดยตรงใน GPSC จำนวน 586,071,567 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 20.78 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 TP ได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว ในการนี้ TP จะเริ่มต้นการชำระบัญชีภายในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับปีบัญชีที่มีการโอนกิจการทั้งหมด เมื่อดำเนินการชำระบัญชีแล้วเสร็จ TP จะดำเนินการจดทะเบียนชำระบัญชีเสร็จกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยเมื่อ TP ดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะแจ้งให้ ทราบผ่านการแจ้งข่าวของบริษัทฯ บนเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) ต่อไป