โบรกฯ อัพกำไร SCGP มองแนวโน้มรายได้ Q2 โตต่อ รับอุปสงค์บรรจุภัณฑ์พุ่ง!

3 บริษัทหลักทรัพย์ปรับคาดการณ์กำไร SCGP ขึ้น หลังกำไรไตรมาส 1 เติบโต ขณะที่มองแนวโน้มไตรมาส 2 โตต่อ รับอุปสงค์บรรจุภัณฑ์พุ่ง-ลุ้นเข้าคำนวณ MSCI


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2564 ออกมาเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2564 นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันต่างปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2564 จากกำไรสุทธิที่ปรับตัวขึ้นสูง

ทั้งนี้ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน-กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น SCGP เนื่องจากระยะสั้นเป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และแนวโน้มผลประกอบการตลอดทั้งปี 64 ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องตามทิศทางการขยายตัวกลุ่มธุรกิจ E-commerce และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรตอบรับกับความต้องการเพิ่มขึ้นกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยเบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิปี 64 เติบโตถึง 40% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน หลังจากประกาศกำไรสุทธิไตรมาส1/64 อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และเพิ่มขึ้น 44% จากไตรมาสก่อน ดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 28% เป็นไปในทิศทางการเติบโตของตามยอดขายและกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น

อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือการรับรู้รายได้จาก Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) โรงงานกล่องบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม และ Go-pak หนึ่งในผู้นำการให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์อาหารรายใหญ่ในแถบสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนาม เข้ามาเต็มปี และมีประเมินมูลค่าอัพไซด์จากดีลซื้อหุ้น Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปชั้นนำในประเทศเวียดนามเพิ่มมูลค่าอีก 3 บาทต่อหุ้นคาดว่าจะปิดดีลได้ในช่วงกลางปี 64

“ช่วงสั้นยังมีประเด็นเชิงบวกสนับสนุน Sentiment ระยะสั้นจากการคาดว่า SCGP จะถูกนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI Rebalance รอบล่าสุด ช่วยผลักดันราคาหุ้นกลับมา Outperfrom ภายใต้อัพไซด์ยังมีความน่าสนใจอิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 60 บาทต่อหุ้น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯคาดว่า MSCI Rebalance จะประกาศวันที่ 11 พ.ค.64 และจะมีผลราคาปิดวันที่ 27 พ.ค.64 คาดหุ้นไทยคาดเข้าใหม่ 3 บริษัท คือ SCGP, IRPC, COM7 ส่วนหุ้นคาดถูกถอดออกคือ DTAC, KBANK-F”  นายกรภัทร กล่าว

ขณะที่ ล่าสุด SCGP ยังประกาศต่อยอดความสำเร็จตลาดอินโดนีเซียด้วยการเข้าร่วมลงทุนซื้อหุ้น 75% ใน PT Indonesia Dirtajaya Aneka Industri Box, PT Bahana Buana Box และ PT Rapipack Asritama (รวมเรียกว่า Intan Group) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกที่มีฐานธุรกิจใน 4 จังหวัดหลัก คาดธุรกรรมเสร็จสิ้นกลางปีนี้ ก้าวสู่เป้าหมายเสริมศักยภาพและบูรณาการความเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Intan Group เป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในอินโดนีเซีย มีลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ทั้งที่เป็นบริษัทข้ามชาติและเจ้าของกิจการภายในประเทศ ในปี 63 Intan Group มีรายได้ 1,329 พันล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นประมาณ 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,057 ล้านบาท และมีสินทรัพย์รวม 755 พันล้านรูเปียห์ หรือคิดเป็นประมาณ 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,737 ล้านบาท

 

ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯมีมุมมองเชิงบวกต่อ SCGP ปัจจุบันมองว่ามีอัพไซด์น่าสนใจเข้าซื้อลงทุนระยะยาว มีปัจจัยสนับสนุนจากราคาของบรรจุภัณฑ์กระดาษเป็นแนวโน้มขาขึ้น และที่สำคัญคือ SCGP มีโอกาสสามารถปรับราคาของบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Jefferies รายงานดัชนีราคากล่องในยุโรปเดือน เม.ย. พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 8-9% เทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ เป็นการสะท้อนว่าแนวโน้มอัตรากำไรของ SCGP ในไตรมาส 2/64 มีโอกาสจะเพิ่มขึ้น จากสต็อกของกล่องที่ลดลงท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกราว 8% จากการปรับราคาที่ล่าช้า

พร้อมกับมุมมองที่ดีในระยะยาวจากการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของบริษัทผ่านการเป็นหุ้นส่วนและซื้อกิจการจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ SCGP สังเกตได้จากการซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์พลาสติก Duy Tan และยังมีการหากิจการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความผันผวนของโครงการ “Fajar” โดยฝ่ายวิจัยฯยังไม่ได้นับรวมประมาณการจากโครงการอื่น ๆ ในอนาคต

 

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 ของ SCGP ยังเติบโตต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลังของปี 64 ตามอุปสงค์บรรจุภัณฑ์และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง, การขยายกำลังการผลิตคอขวดของ Visy Packaging (Thailand) เพิ่มอีก 15% ซึ่งเริ่มผลิต มี.ค.64, ขยายกำลังการผลิตคอขวด PT Fajar Surya อีก 0.5 ล้านตันต่อปีเริ่มผลิต เม.ย.64 และการเข้าซื้อ Duy Tan Plastics Manufacturing ซึ่งคาดว่าดีลจะแล้วเสร็จกลางปี 64

พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 64-65 ขึ้นอีก 29% และ 28% ตามลำดับ สะท้อน EBITDA margin ที่ดีกว่าคาด โดยปรับขึ้นเป็น 19% จากเดิมคาดอยู่ที่ 16% เป็นตัวแปรสนับสนุนให้กำไรสุทธิปี 64 จะเติบโตถึง 55% % จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และปี 65 เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนตามลำดับ

Back to top button