CPL ปรับกลยุทธ์รับมืออุตฯฟอกหนังซบเซา เน้นคุมต้นทุน-ค่าใช้จ่าย ดัน Q1 โต 7 เท่าตัว!
CPL เน้นแผนปรับกลยุทธ์รับมืออุตสาหกรรมฟอกหนังซบเซา เน้นคุมต้นทุน-ค่าใช้จ่าย-ตัดขายบริษัทร่วมที่มีผลขาดทุน หนุนไตรมาส 1 โต 7 เท่าตัว
นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 439 ล้านบาท ลดลง 19.36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35 ล้านบาท คิดเป็น 700% จากไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 5 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นจาก 22.87% เป็น 24.15%
ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป (Finished Leather) มีรายได้ยอดขายในไตรมาสแรกอยู่ที่ 265 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 79 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้หนังลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลกระทบในภาพรวมไม่ได้รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับยอดขายที่ลดลง ขณะเดียวกัน ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในกระบวนการผลิต ส่งผลให้มีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 27 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 32 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับธุรกิจฟอกหนัง (Tanning) ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ทำให้รายได้ลดลงจาก 44 ล้านบาท มาอยู่ที่ 29 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ฝ่ายบริหารได้ประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจด้วยการสั่งหนังเข้ามาผลิตเพื่อใช้เอง ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตหนังสำเร็จรูปได้บางส่วน เช่นเดียวกับธุรกิจผลิตและจำหน่ายรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์นิรภัย (Safety Product) ที่กำลังซื้อในประเทศลดลงจากสถานการณ์โควิด ทำให้รายได้ไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 168 ล้านบาทลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งมีรายได้ 203 ล้านบาท
“แม้ว่า ทั้ง 3 ธุรกิจหลักจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะภาพรวมของอุตสาหกรรมฟอกหนังที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา แต่บริษัทฯ ยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิไว้ได้ ด้วยกลยุทธ์ควบคุมค่าใช้จ่าย เพิ่มการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการที่เรามีรายได้อื่นๆ และการที่เราไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนในบริษัทร่วม ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของเราดีขึ้น พร้อมกันนี้ เรายังแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ในช่องทางใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับพันธมิตรเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์รองเท้าแนวสตรีท (Streetwear) แบรนด์ “PLY” ซึ่งเป็นการก้าวสู่สินค้าสำเร็จรูปที่เป็น End Product นอกเหนือไปจากการผลิตรองเท้านิรภัย รวมถึงการขยับเข้าสู่ธุรกิจด้านความปลอดภัย เช่น Smart Solution Business ที่ต่อยอดจากฐานของ “แพงโกลิน” ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มสินค้าเซฟตี้อยู่แล้ว” นายภูวสิษฏ์กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ยังคงเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายหนังสำเร็จรูป ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 59% ของรายได้รวม ส่วนธุรกิจรับฟอกหนังมีสัดส่วน 3% ขณะที่ธุรกิจเซฟตี้ โปรดักส์ มีสัดส่วน 38% ซึ่งบริษัทฯ ยังไม่มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายได้จากปัจจุบัน และยังหวังว่า เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง และลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น CPL จะสามารถกลับมารับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตรองเท้าชั้นนำของโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการผลิต รวมถึงเครื่องจักรที่สามารถรองรับกำลังการผลิตได้ในอนาคต