“เครดิต สวิส” แนะซื้อ STGT อัพเป้าใหม่ 59 บ. สะท้อนกำไรโตสูง รับดีมานด์พุ่ง
“เครดิต สวิส” คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น STGT อัพเป้าใหม่ 59 บ. สะท้อนกำไรโตสูง เพิ่มกำลังผลิตต่อเนื่อง รอบรับดีมานด์ถุงมือยางทั่วโลกยังขยายตัว
เครดิต สวิส ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินเกี่ยวกับ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT โดยยังคงมองว่ากำไรของบริษัทจะยังเติบโตในระดับที่เหนือกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาก แม้ว่าจะเผชิญกับราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางที่เริ่มปรับตัวอ่อนลง โดยปรับ EPS ปี 2564-2566 ขึ้น 10-20% และให้คำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายจากเดิม 53.60 บาท เป็น 59 บาท
นอกจากนั้นเครดิต สวิส ยังระบุว่า กำไรและมาร์จิ้นของ STGT น่าจะปรับตัวสู่จุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 1/64 ซึ่งทาง STGT เองก็ประเมินว่า ผลงานไตรมาส 2 น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 4/63 จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ปรับตัวสูงขึ้น 5% ในเดือนมีนาคมเมื่อเที่ยบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนในเดือนพ.ค.นั้นคงที่ และคาดว่าจะปรับตัวลดลงราว 10-15% ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับราคายางไนไตรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยในส่วนของราคายางธรรมชาตินั้นยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีความต้องการในอุตสหกรรมยานยนต์ และความผันผวนของอุปสงค์จากฤดูหนาว โดยในขณะนี้อัตราส่วนการผลิตของผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางไนไตรนั้นอยู่ที่ 35% ของกำลังผลิตทั้งหมด แต่จะเพิ่มเป็น 50% ในสิ้นปีนี้
ขณะที่การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์นั้น คาดว่าจะบรรเทาลงเล็กน้อยในไตรมาส 2/64 นี้ ซึ่งก็จะยังคงเป็นอุปสรรคของบริษัทอยู่ และหากยังไม่สามารถคลี่คลายได้ในไตรมาส 3/64 ทาง STGT วางแผนกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ที่ยังขาดแคลนในแถบตะวันออกกลาง และเอเชีย แทน ซึ่งในขณะนี้ปัญหาหลักๆ จะอยู่ในเส้นทางขนส่งไปยังสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สหรัฐแบนสินค้าจาก Top Glove นั้นทำให้ทาง STGT มีออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ (คิดเป็น 40% ของยอดขาย) ซึ่งในขณะนี้ราคาขายเฉลี่ย (ASP) ในสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วในอีกหลายประเทศ เช่นในยุโรป หรือญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตามถึงแม้คาดราคาขายเฉลี่ย (ASP) จะปรับตัวลงต่ำลงเรื่อยๆ นั้น STGT ยังคงมีการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ เครดิต สวิส เชื่อว่ากำไรในอีก 2 ปีข้างหน้านี้จะยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดย STGT จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 38% ในปี 2565 และอีก 42% ในปี 2566 แตะ 7.1 หมื่นล้านชิ้นต่อปี เพื่อใช้ข้อได้เปรียบเรื่องภาษีและดอกเบี้ย และเพื่อเป็นการใช้จังหวะนี้ฉกฉวยโอกาสจากความต้องการถุงมืออย่างทั่วโลกในช่วงหลังโควิด
ขณะนี้หุ้น STGT ซื้อขายอยู่บน P/E ปี 2566 ที่ 8.4 เท่า โดยเครดิต สวิส คาด P/E ปี 2566 จะแตะ 11 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่งอื่นๆในมาเลย์ ปรับราคาเป้าหมายจากเดิม 53.60 บาท ขึ้นเป็น 59 บาท นอกจากนั้นยังมียีลด์ปันผล 6% และคาดว่าราคาขายเฉลี่ย (ASP) ของถุงมือยางไนไตรในปี 2566 จะอยู่ที่ US$43/1,000 ชิ้น ส่วนถุงมือยางธรรมชาติจะอยู่ที่ US$27/1,000 ชิ้น