TOA ปิดตลาดพุ่ง 10% โบรกฯ แนะ “ซื้อ” มองยอดขาย Q4 เร่งตัว หนุนกำไรปีนี้แตะ 2.3 พันลบ.

ราคาหุ้น TOA ปิดตลาดพุ่ง 10% มาที่ 36.25 บ. “บล.ฟินันเซียฯ” ชี้กำไรทั้งปี แตะ 2.3  พันล้านบาท หลังไตรมาส 1 ดีกว่าคาด 7% ชูยอดขายไตรมาส 4 โต แนะ “ซื้อ” เป้า 42 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ปิดตลาดวันนี้ (14 พ.ค. 64) อยู่ที่ 36.25 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.25 บาท หรือ 9.85% สูงสุดที่ 36.75 บาท ต่ำสุดที่ 33.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 670.37 ล้านบาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ค. 2564 ) หลังจาก TOA ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 670 ล้านบาท เติบโตขึ้น 36% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 59% เทียบงวดเดียวกันจากปีก่อน หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนการตีมูลค่าที่เหมาะสม (Fair Value) สินทรัพย์ทางการเงินรวมจะอยู่ที่ 55 ล้านบาท ในส่วนของกำไรปกติอยู่ที่ 615 ล้านบาท เติบโตขึ้น 24% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 21% เทียบงวดเดียวกันจากปีก่อน ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 7% และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ถึง 13% จากค่าใช้จ่ายบริหารที่ต่ำกว่าคาดการณ์

โดยกำไรที่ขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้าและเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า มีมาจากปัยจัยดังนี้

1) ยอดขายเติบโตขึ้นเป็น 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามปัจจัยของฤดูกาลและความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่ช่วยสนับสนุนปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผ่านผู้ค้าปลีก และการค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) เป็นช่องทางหลัก

2) ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ (SG&A) ลดลงจากค่าใช้จ่ายที่ปรับเปลี่ยนไปใช้สื่อโฆษณาช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการกระบวนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยชดเชยให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเป็น 36.5% จากไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 37.8% จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

ทั้งนี้กำไรปกติของไตรมาส 1/2564 คิดเป็น 27% ของการคาดการณ์ทั้งปี ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะอ่อนตัวลง  1) โลว์ซีซั่น (Low Season) จากฤดูฝน 2) ผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกที่3 ส่งผลให้การค่าปลีกแบบใหม่ (Modern Trade) ชะลอการสั่งซื้อเพื่อลดความเสี่ยงด้านสต๊อกสินค้า 3) ลูกค้าบางส่วนได้สต๊อกสินค้าไว้ก่อนปรับราคาขายขึ้นในเดือนเมษายน 4) ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นกดกำไรให้ต่ำลง โดยเฉพาะราคาของส่วนผสมที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันอย่างตัวทำละลาย ถึงแม้ว่าจะปรับราคาขาย 5-10% บางกลุ่มผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เดือนเมษายน แต่ยังมองว่าชดเชยผลกระทบได้ไม่หมด

ขณะที่ไตรมาส 3/2564 คาดว่ายอดขายยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงของฤดูฝน แต่จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 4/2564 ตามปัจจัยของฤดูกาล และโควิด-19 ที่คลี่คลาย ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปกติของปี 2564 อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 % เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ “นักวิเคราะห์ฯ” คงราคาเหมาะสมของปี 2564 ไว้ที่ 42 บาท ซึ่งอิงจาก PER ที่ 37 เท่า และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจาก  1) ทิศทางผลประกอบการ 2563-2564 คาดว่าเติบโตเฉลี่ย 12% CAGR  2) พื้นฐานระยะยาวยังมั่นคงในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมภายใต้แบรนด์ที่ได้เป็นที่ยอมรับในตลาด รวมถึงมีเครือข่ายครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  3) ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยสถานะ Net Cash เป็นโอกาสการเติบโตของการลงทุนในอนาคต 4) มูลค่าหุ้น (Valuation) ยังมีความน่าสนใจ ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE ปี 2564-2565 เฉลี่ย 28 เท่า มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย PE ตั้งแต่เข้าตลาดลด -2.25SD สวนทางกับระดับกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้น

Back to top button