โบรกฯ แนะ “ซื้อ” PTTGC เป้าใหม่ 82 บ. ปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 64 รับปิโตรเคมีฟื้นตัวแกร่ง

โบรกฯ แนะ "ซื้อ" PTTGC เป้าใหม่ 82 บ. ปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 64 รับปิโตรเคมีฟื้นตัวแกร่ง


บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาเป้าหมาย 75 บาท/หุ้น คาดในไตรมาส 2/64 การดำเนินงานหลักแข็งแกร่งและเสถียร คาดกำไรหลักยังคงแข็งแรง ราคา PE เพิ่มขึ้น 6-8% QTD มาร์จิ้นที่ดีคาดมีการขยายส่วนของอะโรมาติกส์ต่อ ส่วนผลิตภัณฑ์กลั่นนั้นคาดจะไม่ได้รับผลกระทบจากพรีเมียน้ำมันดิบสูง เนื่องจากมีการเลือกแหล่งที่ต่างจากกลุ่ม มาร์จิ้นผลิตภัณฑ์กลั่นที่ดีขึ้นคาดหนุนไตรมาส 2/64 มาร์จิ้น BPA แตะออลไทม์ไฮ เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน มาร์จิ้น PO/Polyols ยังดี QTD อย่างไรก็ดี การไม่มีกำไรจากคลังสินค้าในไตรมาส 2 คาดกดดันกำไรสุทธิ

โดยชอบ PTTGC มากกว่า PTTEP สำหรับการลงทุนน้ำมัน และเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากลุ่มที่กลั่นนาฟทาเป็นหลัก เนื่องจากราคาเคมีภัณฑ์ที่ดี

บล.ทรีนิตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายปี 64 ขึ้นเป็น 80 บาท และปรับขึ้นประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านบาท โดยมีกำไรจากกการขายบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราว 8 พันล้านบาท และกำไรจากดำเนินงานปกติ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาจากการปรับสมติฐาน HDPE spread ขึ้นจาก USD550/ton เป็น USD600/ton ซึ่งราคา HDPE และ PP spread ปัจจุบันอยู่สูงถึง USD600-700/ton และ PTTGC ยังเป็นหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีที่ยังชื่นชอบตามการฟื้นตัวของปิโตรเคมีอย่างแข็งแกร่ง

บล.เอเชีย เวทล์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 จากค่าการกลั่น ราคาและส่วนต่างราคา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงแข็งแกร่ง จากภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจ ขนาดใหญ่ ทั้ง ยุโรป สหรัฐฯ และจีน ที่มีการดำเนินการฉีดวัคซีนที่ดี และคาดว่าจะเกิด Herd Immunity (75% ของประชากร) ภายในไตรมาส 3/64 โดยปัจจุบันกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ผ่อน คลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมไปถึงกลับมาเปิดเศรษฐกิจ ท าให้เกิด Demand ปิโตรเลียมและปิโตร เคมีที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ภาพรวมนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/64 มีปัจจัยบวกจาก (1) Product Spread ที่แข็งแกร่ง ทั้งค่า การกลั่นกลุ่มน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา (VLSFO) ยังคงปรับเพิ่ม (2) P2F ของอะโรเมติกส์ที่ยังคง เพิ่มขึ้น โดยส่วนต่างราคาพาราไซลีนและเบนซีน ปรับเพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และ 50% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และ (3) ราคาและส่วนต่างราคากลุ่มผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ โดยราคา HDPE เฉลี่ยอยู่ที่ 1,232 เหรียญ เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน รวมไปถึงส่วนต่างราคา MEG และ PP ที่เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 79% นอกจากนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 บริษัทจะรับรู้กำไรจากการขาย GPSC อยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท ชดชเยผลจาก การรับรู้ Stock gain ที่คาดว่าจะลดลงจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา

ขณะที่ก่อนหน้านี้บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 9,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และพลิกจากผลขาดทุน 8,784 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของ Margin ของทุกธุรกิจ และดีกว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่ภาพรวม Margin ของธุรกิจในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทำให้ปรับสมมติฐานหลัก (ก่อนหน้านี้ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเป็น 60 เหรียญต่อบาร์เรล) ทั้งค่าการกลั่น P2F ของธุรกิจอะโรเมติกส์ และสมมติฐานราคา HDPE ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 2564 อยู่ที่ 34,322 ล้านบาท (รวมกำไรพิเศษจากการขาย GPSC แต่ไม่รวมผลจากอัตราแลกเปลี่ยนและ Stock)

อีกทั้งได้ปรับราคาเป้าหมายเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการ ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 82 บาท (เดิม 71 บาท) มุมมองเชิงวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 ที่คาดหมายจะเห็นการ เติบโตทั้งเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบจากปีก่อน ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button