“ฟินันเซียฯ” คาด DRT กำไรไตรมาส 2-4 ชะลอตัว “ชี้” Upside จำกัด หั่นคำแนะนำเหลือ “ถือ”
นักวิเคราะห์ “บล.ฟินันเซียฯ” คาด DRT กำไรไตรมาส 2-4 ชะลอตัวลงจากผลกระทบของโควิด-19 ระลอก 3 กดกำลังซื้อผู้บริโภค ส่วน Modern Trade ชะลอการสั่งซื้อ ด้าน Upside จำกัด หั่นคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (17 พ.ค. 2564 ) ภายหลังจาก บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 / 2564 อยู่ที่ 196 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากไตรมาสก่อน หรือ 17% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งดีกว่าคาดการณ์และตลาดคาดอยู่ที่ 12% จากอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาดการณ์
โดยกำไรที่เติบโตโดดเด่นจากไตรมาสก่อนและจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากรายได้ขยายตัว 40% จากไตรมาสก่อน และ 8% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้วมาที่ 1.30 พันล้านบาท ตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็นไฮซีซั่น รวมถึงอุปสงค์ที่ฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์หลังจากกลับมาเปิดโครงการใหม่มากขึ้น และกลุ่มการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นเป็น 30.20% จาก 26.30% ในไตรมาส 4 / 2563 และ 29.70% ในไตรมาส 1 / 2563 จากอัตราการเดินเครื่องจักรสูงกว่า 90% บวกกับผลของ Product Mix รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจัดการ (SG&A) ต่อรายได้ ปรับลงเป็น 11.70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 /2563 อยู่ที่ 16.50% และไตรมาส 1 /2563 อยู่ที่ 12.90% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้กำไรไตรมาส 1 / 2564 คิดเป็น 35% ของคาดการณ์ทั้งปี ซึ่งประเมินไว้ว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะชะลอตัวลง
โดยกำไรไตรมาส 2 /2564 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนและเทียบกับงวดของปีเดียวกันที่ผ่านมา จากฐานที่ค่อนข้างสูงในไตรมาส 2 /2563 รวมถึงได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ระลอก 3 กดกำลังซื้อของผู้บริโภค และแผนเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนถูกชะลอออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์
ส่วนกลุ่มการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) แม้จะไม่ถูกสั่งปิดสาขาแต่คาดชะลอการสั่งซื้อเพื่อลดความเสี่ยงสต๊อกสินค้า ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังไม่สดใส คาดหดตัวจากครึ่งปีแรก โดยกดดันจากรายได้ที่ชะลอลงตามช่วงโลซีซั่น และอัตรากำไรขั้นต้นหดตัว เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งต้นทุนขนส่ง รวมถึงราคาวัตถุดิบจากราคาน้ำมันและราคาเยื่อกระดาษ ที่สูงขึ้น ภายหลังจากที่สต๊อกเอาไว้ก่อนหน้านี้หมดไปแล้วในครึ่งปีแรก
ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ไว้ที่ 550 ล้านบาท ยังทรงตัวเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน บนสมมติฐานยอดขาย 4.70 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว สูงกว่าเป้าของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ และการเดินเครื่องจักรใหม่ NT-11 ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับ 28% สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ 27-29% โดยลดลงจากปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 29% จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
โดย “ฝ่ายวิจัย” คงราคาเป้าหมายปี2564 ที่ระดับ 7.30 บาท (อิง PER 12เท่า) ราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนต่างราคา (Upside) ต่ำกว่า 10% บวกกับแนวโน้มกำไรไตรมาส 2 / 2564 อ่อนตัวลง จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือรับปันผล ซึ่งคาดผลตอบแทนเงินปันผล 6.0-6.5% ต่อปี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบปันผล อย่างไรก็ดี ระยะสั้นคาดการณ์หุ้นได้ตัวเร่งปัจจัยบวกจากงบไตรมาส 1/2564 ดีกว่าคาดการณ์