อวดโฉม 10 หุ้น “บลูชิพ” โชว์งบ Q1 กำไรโตทะลักเกิน 50% สวนพิษโควิด!
อวดโฉม 10 หุ้น “บลูชิพ” โชว์งบ Q1 กำไรโตทะลักเกิน 50% สวนพิษโควิด!
ผ่านไปแล้วสำหรับการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด 31 มี.ค.2564) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ที่ประกาศผลการดำเนินงานดังดล่าวมานำเสนอ
โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะกลุ่มหุ้น SET50 เพียง 10 อันดับแรกที่มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 เติบโตเกิน 50% และโตสวนวิกฤติการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างแข็งแกร่ง ตามตารางประกอบดังนี้
อันดับ 1 บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 6,008.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 952.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 570.72 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการขายไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,240 ล้านบาท เมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,942 ล้านบาท ขณะเดียวกันต้นทุนขายสินค้าไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 2,598 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,610ล้านบาท นอกจากนี้ต้นการจัดจำหน่ายไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 195 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 179 ล้านบาท
ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการบริหารไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 2,598 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,610 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจและการจัดการความเป็นเลิศด้านต้นทุนทั้งบริษัท หรือ Project Olympus สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในระหว่างไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้
ด้าน บล. ฟินันเซีย ไซรัส ระบุแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 57 บาท พร้อมชูให้เป็น Top Pick กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้น 359% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 953% จากปีก่อน ดีกว่าตลาดคาด 36% ส่วนกำไรปกติ เพิ่มขึ้น 144% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 128% จากทั้งรายได้ที่เติบโต รวมถึง Margin ที่ดีขึ้นทั้ง PET PTA MEG และ MTBE ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 คาดยังเร่งขึ้นต่อ
อันดับ 2 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 610.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 657% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 80.71 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนขายและการให้บริการไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 8,126.85 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 8,910.38 ล้านบาท
ด้านดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGRIM เปิดเผยว่า ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในเดือนเมษายน 2564 บี.กริม เพาเวอร์ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานทดแทน, ระบบการบริหารจัดการพลังงานและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS), ระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Energy Trading), ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้มีอีกหลากหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 94% โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในครึ่งปีแรกของปี 2564
โดยปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 48 โครงการ โดยมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตรวมของโครงการใหม่ ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างใหม่และการเข้าซื้อกิจการ โดยคงเป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 7,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568
อันดับ 3 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 14,913.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.94 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6,971.20 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากธุรกิจเคมิคอลส์มีส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SCC คงคำแนะนำ “ซือ้ ” และปรับราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นเป็น 522 บาท อิง SOPT หรือเทียบเท่า EV/EBITDA ที่ 11 เท่า จากการปรัประมาณการกำไรและส่วนแบ่งรายได้ในธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น
โดย SCC ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท โต 114% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +85% เทียบไตรมาสก่อนหน้าดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้โดยสิ่งที่ดีกว่าที่เราคาดไว้คือ Equity income ในไตรมาสนี้ที่สูงถึง 5.7 พันล้านบาท
ธุรกิจปิโตรเคมีปริมาณขายที่ 4.9 แสนตัน โต 16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,โต 27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า เนื่องด้วยไตรมาส 4/2563 มีการปิดซ่อมปิ โตรเคมีเป็นระยะเวลา 45 วัน และความต้องการผลิตภัณฑ์ปิ โตรเคมีในตลาดที่ยังอยู่ในรระดับสูง
ปรับประมาณการกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านบาท จาก 1) ปรับสมมติฐานส่วนต่างราคาของปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นเป็น USD600/ton (เดิม USD550/ton) 2)ประมาณขายเพิ่มขึ้น 7% จากโครงการ MOC ที่ขยายกำลังการผลิต และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาทจากแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังเป็น upcycle อีกทั้งวางแผนศึกษาเตรียม Spin-off ธุรกิจ Chemical ในปี 1-2 ปี ข้างหน้า โดยคาดว่าจะปรับโครงสร้างธุรกิจปิ โตรเคมีแล้วเสร็จภายในปี 2565
อันดับ 4 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 4,003.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.88 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,898.35 ล้านบาท
โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนขายและการให้บริการไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 108,360.03 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 122,767.75 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 3,364.17 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 3,712 .14 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 1,756.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.11 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 856.49 ล้านบาท
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ “ลดน้ำหนักลงทุน” หุ้น DELTA สำหรับการลงทุนต่ำกว่า 1 ปี ให้ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 278 บาท และราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 300 บาท แต่หากลงทุนนานถึง 2 ปี แนะ”รอซื้อเมื่ออ่อนตัว” เพราะปัจจุบันเทรดที่ P/E mean+3SD หรือ 53 เท่า นับว่ายังสูงเกินไป และแนะนำเปลี่ยนตัวเล่นเป็น HANA เป็น top pick ของกลุ่ม (ให้ราคาเป้าหมาย 72 บาท)
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน