ERW เน้นแผนพัฒนา รร.ราคาประหยัด เหตุกระทบ “โควิด” น้อย-ฟื้นตัวเร็ว
ERW ดันธุรกิจกลุ่ม Budget Hotel เนื่องจากกระทบน้อยและฟื้นตัวเร็วที่สุด หลังโควิด-19 ส่งผลธุรกิจอื่นชะลอตัว เดินหน้าทุ่มงบ 700 ล้านบาท อยู่ระหว่างสร้างโรงแรมแห่งที่ 2 คาดการณ์ว่าเปิดตัวต้นปี 2565
นางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW เปิดเผยว่า บริษัทยอมรับว่าขณะนี้ยังประเมินทิศทางผลประกอบการในปีนี้ได้ยาก เนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก การกระจายการฉีดวัคซีน และการผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐ ขณะที่บริษัทได้ชะลอธุรกิจโรงแรมใหม่จนกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ERW แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ขาดทุนสุทธิ 491.94 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.1954 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 102.5 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0407 บาท
“บริษัทยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการกระจายการฉีดวัคซีนของประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะหนุนให้มีการเดินทางระหว่างประเทศเกิดขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักจากต่างประเทศ” นางสาววรมน กล่าว
ส่วนในปีนี้คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวของประชาชนในประเทศเป็นหลัก โดยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ซึ่งมีผลกระทบหลักในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น จังหวัดชลบุรี เมืองพัทยา และจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ต่างๆ
นอกจากนี้ด้านของโรงแรมที่มีราคาประหยัด (Budget Hotel) คือโรงแรม Hop INN ปัจจุบันยังคงมีอัตราการเข้าพัก (OCC) อยู่ที่ราว 20% เนื่องจากประชาชนบางส่วนยังมีความต้องการในการเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปี 2563 ทางด้านของรัฐบาลได้มีการสั่งปิดเมือง (Lockdown) ทั้งประเทศ เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลง ส่งผลให้ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน จึงจะกลับสู่สถานการณ์ที่ดีขึ้น ในการระบาดระลอกสามนี้ บริษัทก็คาดการณ์ว่าหากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ สถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติภายได้ใน 2 เดือนเช่นเดียวกัน
โดยปัจจุบันยังคงประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ยาก เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยในปีนี้บริษัทยังคงดำเนินนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุน และการมีเงินทุนเพียงพอในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติในปัจจุบัน ส่วนแผนการพัฒนาโรงแรม บริษัทยังคงเน้นการพัฒนาในกลุ่ม Budget Hotel เป็นหลัก ทั้งในประเทศไทย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากโรงแรมในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันยังมีการฟื้นตัวที่เร็วที่สุด
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรม 2 แห่งที่อยูระหว่างก่อสร้างด้วยงบลงทุนราว 7 ร้อยล้านบาทในประเทศฟิลิปปินส์ คาดการณ์ว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2565 ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีที่ดินในประเทศฟิลิปปินส์อีก 3 แห่ง และที่ดินในประเทศไทยอีก 7 แห่ง หากสถานการณ์ต่างๆปรับตัวดีขึ้นก็จะเริ่มกลับมาพัฒนาโรงแรมเพิ่มเติมอีกครั้ง