เปิดโผ 10 อันดับแรกหุ้น SET100 โกยกำไร Q1 โตทะลักเกิน 100%

เปิดโผ 10 อันดับแรกหุ้น SET100 โกยกำไร Q1 โตทะลักเกิน 100% แถม Q2 เด่นต่อเนื่อง สวนพิษโควิดระลอกใหม่    


ผ่านไปแล้วสำหรับการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุด 31 มี.ค.2564) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นใน SET ที่ประกาศผลการดำเนินงานงวดดังดล่าวมานำเสนอ

โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะกลุ่มหุ้น SET100 ที่มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 เติบโตเกิน 100% เพียง 10 อันดับแรกของกลุ่มมานำเสนอ เนื่องจากมารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่น สวนวิกฤติการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 จะเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง โดยมีหุ้นตามตารางประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 6,008.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 952.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  570.72 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการขายไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,240 ล้านบาท เมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,942 ล้านบาท ขณะเดียวกันต้นทุนขายสินค้าไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 2,598 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,610ล้านบาท นอกจากนี้ต้นการจัดจำหน่ายไตรมาส 1/2564 อยู่ที่  195 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 179 ล้านบาท

ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการบริหารไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 2,598 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 2,610 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางธุรกิจและการจัดการความเป็นเลิศด้านต้นทุนทั้งบริษัท หรือ Project Olympus สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในระหว่างไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้

ด้าน บล. ฟินันเซีย ไซรัส ระบุแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 57 บาท พร้อมชูให้เป็น Top Pick กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้น 359% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 953% จากปีก่อน ดีกว่าตลาดคาด 36% ส่วนกำไรปกติ เพิ่มขึ้น 144% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 128% จากทั้งรายได้ที่เติบโต รวมถึง Margin ที่ดีขึ้นทั้ง PET PTA MEG และ MTBE ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 คาดยังเร่งขึ้นต่อ

 

อันดับ 2 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM  รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 610.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 657% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 80.71 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากต้นทุนขายและการให้บริการไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 8,126.85 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 8,910.38 ล้านบาท

ด้านดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGRIM เปิดเผยว่า ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในเดือนเมษายน 2564 บี.กริม เพาเวอร์ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานทดแทน, ระบบการบริหารจัดการพลังงานและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS), ระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Energy Trading), ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และระบบจำหน่ายไฟฟ้า

ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้มีอีกหลากหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 94% โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในครึ่งปีแรกของปี 2564

โดยปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 48 โครงการ โดยมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตรวมของโครงการใหม่ ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างใหม่และการเข้าซื้อกิจการ โดยคงเป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 7,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

บล.เคทีบีเอสที  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BGRIM: แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 55.00 บาท อิง DCF (WACC 5.0%, TG 0%) โดยได้เข้าร่วมการจัด Analyst meeting เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2564  โดยสรุปประเด็นสำคัญได้แก่ 1) โครงการที่อยู่ระหว่าง เจรจาทั้งในและต่างประเทศรวมกำลังการผลิตราว 850 MW คาดจะเห็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญใน 2H21E

2) สถานการณ์ curtailment ในเวียดนามใกล้กลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังภาครัฐให้ priority โรงไฟฟ้าโซลาร์และเร่งจัดการระบบการจ่ายไฟ 3) แผนพัฒนาไฟฟ้ า Master plan 8 ของ เวียดนาม คาดต้องใช้เวลาก่อนได้ข้อสรุปหลังมีการเปลี่ยนนายกท าให้แผนถูกน ากลับไปทบทวน 4) โครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเดินหน้าตามแผนซึ่งจะทะยอย COD ในปี 2564-2565 รวม ราว 493MW

ทั้งนี้มีมุมองเป็นกลางจากการประชุมโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาและก่อสร้าง รวมถึงสถานการณ์ในเวียดนามยังคงมีพัฒนาการตามกรอบที่บริษัทได้เคยแจ้งไว้และยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 +16% โดยแนวโน้มกำไรปกติ 2564 คาดเติบโตได้ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยฤดูกาล

ราคาหุ้น underperform SET -36% ในช่วง 12เดือนที่ผ่านมา คาดมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ เริ่มคลี่คลายทำให้ตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นมาได้ดีกว่าหุ้น defensive โดยประเมินราคาหุ้นมีโอกาสกลับมา outperform ตลาดได้

 

อันดบ 3 บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2564 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 5,958.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 597.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 854.15 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ โดยเป็นมาจากไตรมาสแรกปี 2564 บริษัทฯมีรายได้รวม อยู่ที่ 31,579.5 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 80.6 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจยางธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.0 ของรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 16,088.6 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 18.0 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน อันเนื่องมาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 10.3 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนตามราคายางธรรมชาติในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นผสานกับปริมาณการขายที่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่ 326,183 ตัน เติบโตร้อยละ 7.0 จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 19.3 จากไตรมาสก่อน

ขณะที่บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2564  และกำไรสะสมวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 25 พ.ค. 2564 อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 1.00 บาทต่อหุ้น วันที่จ่ายปันผล 11 มิ.ย. 2564

ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น STA ราคาเป้าหมาย 65 บาท/หุ้น จากกรณี สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ (ARPC) คาดการณ์ปี 2564 ความต้องการใช้ยางธรรมชาติของโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 8-10% (เทียบกับปี 2563 ปรับตัวลดลง -15%)

ขณะที่ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มองว่าสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกในปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ปลายปี 2563 ที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยางธรรมชาติกลับมาดำเนินธุรกิจกันใหม่ และต่างเดินเครื่องกันเต็มกำลังการผลิต

ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วางเป้าหมายการผลิตรถยนต์ของไทยปี 2564 ที่ 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 5.12% จาก 1.42 ล้านคันในปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้ยางรถยนต์ทีเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจ (จีดีพี) โลกปีนี้จะขยายตัวที่ 5.49% จากที่ติดลบ 3.50% ในปีที่แล้ว และคาดว่าความต้องการใช้ถุงมือยางจะเติบโต 25% ในปี 2564 และ 20% ในปี 2565

 

อันดับ 4 บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 มีกำไรอยู่ที่ 333 ล้านบาท เติบโต 218% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 104.78 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวทำจุดสูงสุดรายไตรมาส  หลังจากบริษัทย่อยและร่วมสามารถทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง โดยธุรกิจด้านการเงินยังเป็นตัวขับเคลื่อนกำไร

ด้าน นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 กำไรทำสถิติสูงสุดรายไตรมาสต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญในการเติบโตของกำไรสุทธิ มาจากบริษัทย่อยและบริษัทร่วมภายในกลุ่มมีการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT ยังคงเป็นสัดส่วนกำไรที่สำคัญให้แก่เจมาร์ท ขณะที่ กลุ่มธุรกิจการเงิน ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์  ภายใต้การบริหารของ SINGER , JAS ASSET (J) และ JAYMART MOBILE สามารถบริหารจัดการได้อย่างดีเยี่ยม แม้ภายใต้สถานการณ์การกลับมาแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในปีนี้ แต่บริษัทฯ สามารถใช้เทคโนโลยี และ Ecosystem ภายในกลุ่ม สนับสนุนโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น

นอกจากนี้  JMART ได้รับกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนของ JMART ใน บริษัท เจฟินเทค จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด (KBJ) เข้ามารับรู้ในไตรมาสนี้ ภายหลังปิดดีลการเข้าลงทุนของบริษัท KB Kookmin Card บริษัทการเงินอันดับต้นๆ จากประเทศเกาหลีใต้ แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 4/2564 ที่ผ่านมา บอร์ดไฟเขียวอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่าย 11 มิถุนายน 2564 นี้โดยกำหนดวัน Record Date คือ 27 พฤษภาคม 2564 นี้ และมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 5 (JMART-W5) อายุ 4 ปี ราคาใช้สิทธิ 70 บาท ตามแผน เพื่อสร้างฐานเงินทุนให้กับบริษัทในอนาคต ซึ่งเรื่องการออกและเสนอขาย JMART-W5 นี้จะต้องเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติในวันที่ 24 มิถุนายน 2564 นี้

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเจมาร์ทมีฐานกำไรเติบโตมั่นคง และมั่นใจภาพระยะยาวมีแนวโน้มเชิงบวกจากการต่อจิ๊กซอว์ภายในกลุ่ม โดยในไตรมาส 2 เตรียมเดินหน้าสานต่อโครงการที่ได้ประกาศเอาไว้ ได้แก่ การขยายกิจการด้านโลจิสติกส์ ธุรกิจนายหน้าประกันภัยและการเงิน รวมทั้ง ธุรกิจบริหารสินทรัพย์รอการขาย ที่จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น และยังไม่ได้รวมในประมาณการณ์เป้าหมายที่วางไว้

 

อันดับ 5 บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรอยู่ที่ 543.15 ล้านบาท เติบโต 206.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 177.30 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวมไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 6,132.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.1 จากไตรมาส 1 ปี 2563

โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งจากการเพิ่มขึ้นของรายได้สาขาเดิมและรายได้สาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการและมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 เท่ากับ 543.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 206.3 จากไตรมาส 1 ปี 2563

สำหรับการขยายสาขาในไตรมาส 1 ปี 2564 กลุ่มบริษัทฯ เปิดสาขาขนาดใหญ่ เพิ่ม 1 สาขา ได้แก่สาขาแหลมฉบัง ทำให้มีสาขาขนาดใหญ่ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 13 สาขา และเปิดสาขา Dohome ToGo เพิ่ม 1 สาขา ได้แก่สาขาตลาดนัดทับยาว ทำให้มีสาขาขนาด Dohome ToGo ที่เปิดบริการทั้งสิ้น 12 สาขา

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  DOHOME: แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท โดยแนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2564 มีแนวโน้มดี รับผลกระทบโควิดจำกัด โดยมีการปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 16% เป็น 1.75 พันล้านบาท (+141% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆ มาจากการปรับ

1) GPM ขึ้น 20 bps เป็น 20.5% หลังบริษัทได้ปรับ product mix จากเดิมที่เน้นการขายวัสดุ ก่อนสร้าง มาเน้นสินค้าตกแต่งซ่อมแซมมากขึ้น และ 2) ปรับ SG&A/sales ลงเป็น 10.8% (จากเดิม 12.0%) จากการควบคุมค่าใช่จ่ายในการบริหาร ขายและจัดจำ หน่ายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นอีก +15% ที่ 1.92 พันล้านบาท (+10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆ มาจากการปรับ SG&A/sales ลงเป็น 10.8% (จากเดิม 12.0%)

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button