MGT ศึกษาธุรกิจกัญชงกัญชาต้นน้ำ-ปลายน้ำ คาดสรุปแผนชัดเจนไตรมาส 4
MGT ลุยศึกษากัญชงกัญชาต้นน้ำ-ปลายน้ำ คาดสรุปแผนชัดเจนไตรมาส 4/64 คงเป้าผลงานไตรมาส 2/64 โตไม่ต่ำกว่า 20%
นายวิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องกัญชง-กัญชา โดยวางแผนจะทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยต้นน้ำคือเรื่องการนำเข้าเมล็ดเพื่อเพาะปลูกและขยายพันธุ์ ส่วนกลางน้ำคือการดำเนินงานทำวิจัยเพื่อสกัดสาร CBD ตามมาตรฐานไทย และปลายน้ำคือการนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย โดยบริษัทได้มองหาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหาร เครื่องสำอาง เพื่อทำการควบรวมกิจการ (M&A) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 4/64 นี้
ด้านความคืบหน้าล่าสุด ของบริษัท Mega Fuji Graphite จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้น 49% ร่วมกับ Fuji Graphite Works ถือ 51% เพื่อวิจัยพัฒนา ผลิตและจำหน่าย Expand Graphite ภายในปีนี้นั้น คาดว่าผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นจะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยในเดือน มิ.ย.64 เลื่อนมาจากเดือน มี.ค.64 จากนั้นต้องกักตัว 14 วันก่อนจะเริ่มดำเนินการวิจัยร่วมกับนักวิจัยไทยในวันที่ 23 มิ.ย.64
ทั้งนี้บริษัทวางแผนว่าเมื่อผลิต Expand Graphite ตัวอย่างเสร็จแล้วจะส่งให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้า โดยจะเช่าโรงงานผลิตไปก่อนเพื่อให้สามารถเริ่มผลิตได้ภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค.64 ซึ่งจะส่งไปขายนำร่องในญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐ เพื่อใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งเป็นส่วนผสมในพลาสติกเมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม่จะเกิดการหน่วงทำให้ไม่ให้ติดไฟ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ในรถยนต์, แบตเตอรี่ และหลังคากันความร้อนได้ด้วย ทั้งนี้ คาดว่า Expand Graphite จะมีกำไรขั้นต้นเกิน 30%
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนขยายโกดัง (Warehouse) เพื่อใช้ในการเก็บวัตถุดิบที่เป็นอันตรายที่นิคมอุตสาหกรรมทองโกรว์ จังหวัดชลบุรี โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ และใช้งบลงทุนประมาณ 35 ล้านบาท
ส่วนบริษัทที่ร่วมถือหุ้น 51% ในบริษัท Megachem (Myanmar) หลังจากสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมาคลี่คลายลง ปัจจุบันรัฐบาลเมีนมาได้เปิดให้ธุรกิจที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 35% สามารถยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจได้แล้ว โดยขณะนี้ทางบริษัทกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการยื่นขออนุญาต
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/64 ว่า ในดือน เม.ย.-พ.ค.ออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 63 โดยมองว่าจะสามารถคงเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ได้ จากช่วงต้นปี 64 ที่เกิดพายุหิมะที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้บริษัทเคมีรายใหญ่ไม่สามารถส่งออกวัตถุดิบไปทั่วโลกได้ ประกอบกับหลายบริษัทประสบปัญหาราคาขนส่งสินค้าสูงขึ้นจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ในขณะที่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากสามารถบริหารจัดการสต็อกได้เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทได้ส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้น
นอกจากนี้จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เอทานอลแปลงสภาพเป็นที่ต้องการในตลาดมากขึ้นเพื่อใช้ผลิตเจลแอลกอฮอล์และน้ำยาล้างมือฆ่าเชื้อต่างๆ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 214.6 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/63 เติบโต 8.1% ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่ 31.3 ล้านบาท เติบโต 15.1% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 68.5 ล้านบาท เติบโต 4.2% จากไตรมาส 1/63 และ SG&A อยู่ที่ 30.2 ล้านบาท ลดลง 13.4% จากไตรมาส 1/63