CK รับงานอุโมงค์ประปา 5 พันล. จ่อคว้า 2 สัญญา รถไฟทางคู่ “เด่นชัย-เชียงราย” 4.7 หมื่นล.

CK เซ็นสัญญา “อุโมงค์ส่งน้ำประปา” จำนวน 4.95 พันลบ. พร้อมจ่อคว้า 2 สัญญารถไฟทางคู่ “เด่นชัย-เชียงราย” มูลค่า 4.7 หมื่นลบ. คาดว่าได้ข้อสรุปลงนามในสัญญาเดือน ก.ค.นี้ ชี้อาจทำให้ปี 64 ยอด Backlog กลับมาสู่ระดับเกินแสนล้านบาท


บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 บริษัทได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการอุโมงค์ส่งน้ำประปา สัญญาที่ G-TN-9D จากสถานีสูบจ่ายน้ำบางมด ถึงสถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง มีระยะทาง 13.4 กิโลเมตร กับการประปานครหลวง (กปน.) มูลค่า 4,950 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโครงการนี้เป็นงานก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำประปาตามแนวถนนกาญจนาภิเษกและถนนทางรถไฟสายเก่า จากสถานีสูบจ่ายน้ำบางมด ถึงสถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

โดยใช้หัวขุดเจาะอุโมงค์ แบบเจาะนำใต้ดินเหมือนตัวตุ่นแล้วติดตั้งชิ้นส่วนคอนกรีตหล่อสำเร็จค้ำยันเอาไว้รอบโพรงที่ทำการเจาะ เพื่อป้องกันการทรุดตัวของดินกลบอุโมงค์ (TBM) มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี 4 เดือน ถือเป็น 1 ใน 4 สัญญาที่กปน. ที่ได้เปิดประมูลตามโครงการปรับปรุงกิจการประปานครหลวงแผนหลักครั้งที่ 9 เพื่อเชื่อมโยงการจ่ายน้ำประปาจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯซึ่งพร้อมเริ่มก่อสร้างทันที และมั่นใจว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามแผน เพราะมีความพร้อมและเป็นงานที่ทาง CK มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ทาง CK ได้เข้าร่วมประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย- เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีระยะทาง 323 กิโลเมตร สัญญาที่ 1 2 และ 3 มูลค่ากว่า 73,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเสนอราคาจัดซื้อจัดจ้างทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-บิดดิ้ง) ร่วมกับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ในนามกิจการร่วมค้า CKST ซึ่งผลการเสนอราคาปรากฎว่า กิจการร่วมค้า CKST เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ด้วยราคา 26,900 ล้านบาท และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ด้วยราคา 19,390 ล้านบาท

ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไป รฟท. แจ้งว่าจะดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารเทคนิค หลังจากนั้น รฟท.จะประกาศอย่างเป็นทางการว่าบริษัทใดเป็นผู้ได้รับงานสัญญาต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปลงนามในสัญญาได้ในเดือน กรกฎาคม 2564 ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กิโลเมตร อีก 2 สัญญา มูลค่า 55,458 ล้านบาท ที่รฟท.จะเปิดประมูลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นี้ ซึ่งทาง CK ก็จะเข้าร่วมประมูลด้วย

ด้าน นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร CK เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมของธุรกิจก่อสร้างถือว่าค่อนข้างชะลอตัว เพราะมีการเลื่อนการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เป็นผลมาจากปัญหาด้านการเมืองและผลกระทบจากโรคระบาด Covid-19 แต่หลังจากนี้เชื่อมั่นว่ารัฐจะเร่งรัดโครงการต่างๆออกมาจำนวนมากเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ งานก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถสร้างเงินหมุนเวียนได้หลายรอบ มีผลต่อเนื่องไปที่ธุรกิจอื่นๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง ธนาคารการเงิน ประกันภัยและที่สำคัญคือทำให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งจะมีผลดีต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง

สำหรับงบประมาณจำนวนกว่าล้านล้านบาทที่ภาครัฐจัดสรรเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจ รวมถึงงบประมาณสำหรับโครงการที่ได้เตรียมไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติ Covid-19 ซึ่งขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่งานประมูลโครงการของรัฐขนาดใหญ่กำลังเร่งทยอยออกมา และส่งผลดีต่อภาคธุรกิจก่อสร้าง เช่น โครงการรถไฟทางคู่ 1.2 แสนล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 9หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 1.2แสนล้านบาท รวมมูลค่ามากกว่า3แสนล้านบาท

“บริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งด้านบุคลากร แรงงาน เครื่องจักร และที่สำคัญคือประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในงานขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคนิคสูง เช่นงานขุดเจาะอุโมงค์ งานก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน มั่นใจว่ามีโอกาสสูงที่จะชนะในการประมูลทั้ง 3 โครงการในสัดส่วนที่ไม่น้อย โดยโครงการรถไฟทางคู่ และรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะเป็นงานที่บริษัทเข้าประมูลโดยตรง ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม บริษัทจะสนับสนุน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เข้าร่วมประมูล” นายปลิว กล่าว

อีกทั้งในส่วนของภาพรวม CK ในปี 2564 คาดว่าจะดีกว่าปี 2563 ตั้งแต่ไตรมาส 2 /2563 จนถึงปี 2564 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับงานก่อสร้างใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน(Backlog) กลับไปอยู่ที่ระดับเกินกว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีโครงการสำคัญ คือ รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีส้ม และที่สำคัญคือ โครงการเขื่อนหลวงพระบาง มูลค่างานก่อสร้างกว่า 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPกำลังเร่งรัดสรุปและคาดว่าจะเสร็จสิ้นขั้นตอนภายในปี2564นี้ และพร้อมเริ่มก่อสร้างทันที

โดยส่วนบริษัทในกลุ่ม BEM ปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้าและทางด่วนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ซึ่งการระบาดของ Covid-19 น่าจะควบคุมได้ดีขึ้นทำให้กำไรกลับสู่สภาวะปกติ สำหรับธุรกิจของ CKPในปีนี้นั้นโรงไฟฟ้าไชยะบุรีจะผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่และไม่มีผลกระทบด้านภัยแล้งเหมือนปีที่ผ่านมา ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้นอย่างมากซึ่ง CK จะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากทั้ง 2 บริษัทมากขึ้นกว่าปี 2563 อย่างแน่นอน ส่วน บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน)หรือ TTW มีผลประกอบการที่ดี และไม่ได้รับผลกระทบอะไรจาก Covid-19

ทั้งนี้ในด้านการบริหารงาน CK ยึดหลักให้ความสำคัญด้านคุณภาพ การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งมอบงานได้ตรงเวลาที่กำหนดภายใต้อัตรากำไรที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดแข็งของ CK มาโดยตลอด

Back to top button