SPCG คาดผลงานไตรมาส 2 โต! รับยอดติดตั้งโซลาร์รูฟพุ่ง หนุนรายได้ปีนี้ 5.5 พันลบ.

SPCG ร่วมงาน Opportunity Day มองแนวโน้มผลงานไตรมาส 2 โต! หลังยอดติดตั้งโซลาร์รูฟพุ่ง-คงเป้าพอร์ตไฟฟ้าแตะ 5 พันเมกฯ ในปี 80


น.ส.รุ่งฟ้า ลาภยืนยง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชี และการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG นำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2564 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 และเปิดเผยแผนดำเนินการในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 พ.ค.2564

โดยเปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการราว 1,172.7 ล้านบาท ลดลง 19% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 1,454.7 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิได้ 782.3 ล้านบาท ลดลง 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรอยู่ 837.8 ล้าน สาเหตุรายได้ปรับตัวลงเป็นผลจากเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อหน่วย บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สกลนคร 1) จำกัด ที่มีกำลังผลิตราว 7.46 เมกะวัตต์ (ซึ่งเป็น 1 ใน 36 โซลาร์ฟาร์มของบริษัท ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564

นอกจากนี้บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR (บริษัทในเครือ SPCG) มีรายได้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof)

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 จะเติบโตกว่าไตรมาส 1 ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงดังกล่าว ขณะที่มองว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 จะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยคาดการณ์รายได้จากโซลาร์บนหลังคาทั้งปีที่ระดับ 700 ล้านบาท เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

“ผลประกอบการไตรมาส 2 จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟเป็นจำนวนมาก โดยการติดตั้งโซลาร์รูฟร่วมกับการทำลิสซิ่งทำให้มีผู้ประกอบการสนใจเข้ามาติดตั้งเพิ่มขึ้น” น.ส.รุ่งฟ้า ลาภยืนยง กล่าว

ขณะที่บริษัทมีการตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2564 อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท โซลาร์ฟาร์มผลิตจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 385 ล้านหน่วย โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับโซลาร์ฟาร์มบนพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 300 เมกกะวัตต์ และในปี 2566 จะสามารถจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ได้ได้ครบจำนวน 500 เมกกะวัตต์ จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2564 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้แผนงานล่าช้าออกไปเล็กน้อย

ด้าน นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน SPCG เปิดเผยว่า สำหรับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคตนั้น ยังคงเป้าหมายมีกำลังการผลิต 5,000 เมกกะวัตต์ (MW) ภายในปี 2580 โดยบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นดำเนินโครงการพลังงานสะอาด โดยเน้นธุรกิจโซลาฟาร์มเป็นหลัก และโซลาร์รูฟเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีโครงการในประเทศไทยทั้งหมด 36 โครงการ และอยู่ระหว่างการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น โครงการคุกิชิมะ 480 เมกกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

 

Back to top button