“ดีบีเอสฯ” จัดกลยุทธ์ลงทุนยาว! แนะสะสม 5 หุ้นเด่น H2 ฟื้นตัวแรง-อัพไซด์สูง 28%
“ดีบีเอสฯ” จัดกลยุทธ์ลงทุนยาว! แนะสะสม 5 หุ้นเด่น H2 ฟื้นตัวแรง-อัพไซด์สูง 28% นำโดย AOT,BDMS,BEM,ERW,MINT
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซึ่งได้สรุปภาพรวมตลาดและกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้มานำเสนอนักลงทุน โดยกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้เน้นธีมสะสมหุ้นที่ได้อานิสงค์จากวัคซีนโควิด-19
เนื่องจากคาดคาดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะอยู่ในระดับสูงช่วงเดือนมิ.ย.64 แต่หลังจากนั้นมีโอกาสทยอยลดลง จากการเร่งตรวจเชิงรุก และการฉีดวัคซีนโควิดกระจายตัวมากขึ้น โดยกลุ่ม/หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 ได้แก่
-กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ สนามบิน (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT), สายการบิน (บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV,บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA), เติมน้ำมันอากาศยาน (บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS),โรงแรม & สปา ได้แก่ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรื CENTEL, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ,บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT , บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA,ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี หรือ DREIT
-กลุ่มศูนย์การค้าได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN,บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF,ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ อัลไล หรือ ALLY
-กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมได้แก่ (บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ,บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA
-กลุ่มโรงพยาบาลพรีเมียม ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ,บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH
-กลุ่มขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า/ใต้ดิน ได้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นต้น
กลยุทธ์ : แนะนำเลือกซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ซึ่งหุ้นเด่นเป็น AOT,BDMS,BEM,ERW,MINT
สำหรับ AOT: แนะนำซื้อ (TP 73 บาท,Upside 13.17% เทียบราคาปิด ณ วันที่ 2 มิ.ย.64 อยู่ที่ 64.50 บาท ) โดยงวดไตรมาส 2/2564 (ม.ค.-มี.ค.64) มี Core loss -3.7 พันล้านบาท จากผลกระทบโควิด และ TFRS 16 แนวโน้มไตรมาส 3/2564 (เม.ย.-มิ.ย.64) ยังขาดทุนต่อ เพราะโควิดระบาด ระลอกที่ 3 ระยะกลาง-ยาวฟื้นตัวได้ หลังจากมีการใช้วัคซีนโควิด แพร่หลาย
ซึ่งคาดว่าการเดินทางโดยเครื่องบินในประเทศจะฟื้นตัวก่อน ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศน่าจะเริ่มเห็นได้ ปลายปี 64 คาดการณ์ผลประกอบการปี 2565 (สิ้นสุดก.ย.65) จะฟื้นเป็นกำไรสุทธิได้ 1.5 หมื่นล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 8.3 พันล้านบาทในปี 2564 การขยายสนามบินสุวรรณภูมิและความน่าจูงใจของทรัพยากร ท่องเที่ยวไทยเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว
ด้าน BDMS แนะนำซื้อ (TP 28 บาท, Upside 28% เทียบราคาปิด ณ วันที่ 2 มิ.ย.64 อยู่ที่ 21.80 บาท) คาดคนไข้ต่างชาติจะเริ่มเข้ามาในปลายปี2564
กำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 1.34 พันล้านบาท -48%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,-44%ไตรมาสก่อนหน้า รายได้จากคนไข้ไทย -7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากคนไข้ต่างชาติ -49% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA margin ลดเป็น 21.7% ในไตรมาส 1/2564 จาก 23.9% ในไตรมาส 1/2563 Equity income เหลือเพียง 3 ล้านบาท (-99% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,-89%ไตรมาสก่อนหน้า) หลังขาย เงินลงทุนใน BH ออกไปทั้งหมดในไตรมามาส 4/2563
ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 มีแนวโน้มเติบโตได้ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ไตรมาสก่อนหน้า จาก 1) คนไข้ไทยเพิ่มขึ้นทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า และ 2) มีรายได้จากบริการโควิด19
โดยคาดว่าในไตรมาส 2/2564 จะมีการตรวจโควิดมากขึ้นเป็น 2.7 แสนราย และทำรายได้ 6% ของรายได้รวมในไตรมาส 2/2564 (จาก 3% ในไตรมาส 1/2564) ได้ประโยชน์จากการใช้วัคซีนแพร่หลาย โดยคนไข้ต่างชาติคาดว่าจะเริ่มทยอยเข้ามาที่ BDMS ได้ตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นไป คาดกำไรสุทธิปี 2564 ทรงตัวเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต +25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนในปี 2565
ด้าน BEM : แนะนำซื้อ (TP 9.60 บาท, Upside 17.31% เทียบราคาปิด ณ วันที่ 2 มิ.ย.64 อยู่ที่ 8.20 บาท) คาดธุรกิจเริ่มฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง 2563
กำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 ลดลง -39% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,-46% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเหลือเพียง 305 ล้านบาท เพราะทั้งธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าถูกกระทบจาก โควิด-19 แนวโน้ม ไตรมาส 2/2564 ยังไม่ดี เนื่องจากโควิดระบาดระลอกที่ 3 ทำให้คนกลับไป WFH และเดินทางและใช้บริการรถขนส่ง มวลชนน้อยลง การกระจายวัคซีนเป็น
ปัจจัยที่จะช่วยให้ปริมาณการใช้ทาง ด่วนและใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นในครึ่งปีหลัง 2564 นี้ มีโอกาสได้งานบริหารเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีม่วง ซึ่งมีโครงข่ายปัจจุบันเชื่อมต่อได้อยู่ คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะโตก้าวกระโดด+56% หลังจากหดตัว มาต่อเนื่องในปี 63-64F
ส่วน ERW แนะนำซื้อเก็งกำไร (TP 3.20 บาท, Upside 1.26% เทียบราคาปิด ณ วันที่ 2 มิ.ย.64 อยู่ที่ 3.16 บาท) ฟื้ื้นตัวไปกับการกระจายตัวของวัคซีน
โดยระยะสั้นธุรกิจยังท้าทายมากคาดว่าไตรมาส 2/2564 จะขาดทุนมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 ที่ขาดทุนสุทธิ 494 ล้านบาท เพราะโควิดระบาดระลอกที่ 3
แนวโน้มครึ่งหลังปี 2564 ดีขึ้น หลังจากมีการใช้วัคซีนแพร่หลายมาก ขึ้น โดยคาดว่าท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นตัวได้ดีกว่า ท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงแรก ซึ่ง ERW จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ ในช่วงปี 64-68 จะโฟกัสโรมแรมประเภท Budget hotel ทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและเป็นตลาดที่ใหญ่ มีลูกค้าจำนวนมาก การเพิ่มทุน RO และ ERW-W3 ขึ้น XR & XW ไปแล้วเมื่อ 12 พ.ค.64 คาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในเดือนมิ.ย.64 ซึ่งการเพิ่มทุน ทำาให้เงินทุนและสภาพคล่องการเงินแข็งแรงขึ้น
ส่วน MINT แนะนำ (TP 36 บาท, Upside 11.62% เทียบราคาปิด ณ วันที่ 2 มิ.ย.64 อยู่ที่ 32.25 บาท) เริ่มเห็นแสงสว่างในครึ่งหลังปีนี้
ขาดทุนมากในไตรมาส 1/2564 โดยมี Core loss 5.6 พันล้านบาท และมีตั้งด้อยค่า 2.35 พันล้านบาท ทำให้บรรทัดสุดท้ายเป็นขาดทุนสุทธิ 7.25 พันล้านบาท Rev Par โรงแรมในไทยงวดไตรมาส 1/2564 หดตัว -81% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนในยุโรป & ละตินอเมริกา -77% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านมัลดีฟส์ -11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจอาหารมี SSSG -15.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่จีนดีกว่าที่อื่นมาก มี SSSG +7.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (จากฐานต่ำ) ออสเตรเลีย +2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในไทย-27.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มไตรมาส 2/2564 ธุรกิจในไทยยังอ่อนแอแต่ในยุโรปน่าจะฟื้นตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าเพราะทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ มัลดีฟส์ดีขึ้นเป็นลำดับ
ธุรกิจอาหารในไทยยังท้าทาย แต่ในจีนและออสเตรเลียมี SSSG เป็นบวกต่อในไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของธุรกิจโรงแรมและอาหารในครึ่งหลังปี 2564 หลังมีการฉีดวัคซีนโควิดในวงกว้างขึ้น การเดินทางในประเทศและต่างประเทศทยอยกลับมา ประเมินปี 2565 กลับมาทำกำไรได้ 3.5 พันล้านบาทหลัง ขาดทุนในปี2563-2564
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน