ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง STECH ลุยขายไอพีโอ 203.5 ล้านหุ้น ลุยเทรด SET ไตรมาส 3/64

STECH เตรียมขาย IPO จำนวน 203.5 ล้านหุ้น ช่วงไตรมาส 3/64 โดยมี “เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี” เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง STECH ในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 โดย STECH มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 28.07 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด

โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอและจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 3/2564

ทั้งนี้ STECH เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” ได้แก่  เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงต่างๆ ให้แก่ภาครัฐบาลและเอกชน ตลอดจนการให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการตอกเสาเข็ม อีกทั้ง STECH ยังให้บริการรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของ STECH ได้แก่ งานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV และงานออกแบบจัดหาพร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง

สำหรับปัจจุบัน STECH มีโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงทั้งสิ้น 9 แห่ง กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ได้แก่ สระบุรี ชลบุรี สุโขทัย ลำพูน บุรีรัมย์ ขอนแก่น อุบลราชธานี และนครราชสีมา และมีโรงงาน

เสาเข็มสปันตั้งอยู่ที่สระบุรี อีกทั้ง STECH ยังอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 10 (สาขา 2) ที่ชลบุรี เพื่อรองรับอุปสงค์การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ EEC

โดยการกระจายโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงตามพื้นที่ต่างๆในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการในผลิตภัณฑ์ และความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าจากโรงงานแก่ลูกค้าในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มความพร้อมในการรองรับแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลและเอกชนอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ด้าน นายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STECH เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี สาขา 2  โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด  โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร  โครงการซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต โครงการซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน  โครงการพัฒนาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต

นอกจากนี้จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของ STECH ด้วยจุดเด่น STECH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของอุตสาหกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ให้บริการที่มีคุณภาพพร้อมด้วยคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงเป็นเวลามากกว่า 35 ปี และมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามาโดยตลอด ประกอบกับ STECH มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิต ตลอดจนประสิทธิภาพของบุคลากรและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ STECH มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2563 STECH มีรายได้รวม 1,550.33 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายและให้บริการมากกว่าร้อยละ 90% ได้แก่ รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประกอบเสาไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์คานสะพานและพื้นสะพานคอนกรีตอัดแรง เสาเข็มสปัน ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่นๆ และการให้บริการเคลื่อนย้ายและตอกเสาเข็ม ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการก่อสร้างโครงการ ได้แก่ งานโครงการสายส่งไฟฟ้า 115 kV และงานโครงการออกแบบ ติดตั้ง เคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของภาครัฐ

อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 140.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.81 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าและมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 9.07 โดย STECH มีนโยบายขยายประเภทสินค้าให้หลากหลาย สามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีกำไรจากงานรับเหมาก่อสร้างโครงการที่มากขึ้น รวมถึงมีการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้นในปี 2563

อนึ่ง สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 STECH มีรายได้รวม 399.89 ล้านบาทใกล้เคียงงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาทเติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6 และมีอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 9.8 แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ STECH ยังสามารถบริหารจัดการการป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าวได้ดี

อีกทั้งทำให้การดำเนินธุรกิจยังเป็นไปอย่างราบรื่นส่งผลต่อภาพรวมผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมและ STECH พร้อมรับการเติบโต จากทิศทางการเดินหน้างานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน และปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องการให้เป็นโครงการนำร่องการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการของ STECH เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับแผนงานภาครัฐดังกล่าวข้างต้น

Back to top button