“ไอพีโอ” น้องใหม่ SMD ลงสนามเทรดวันนี้ ลุ้นวิ่งแตะเป้า 9.1 บ.
"ไอพีโอ" น้องใหม่ SMD ขึ้นสังเวียนเทรดวันนี้ ลุ้นวิ่งแตะเป้า 9.1 บาท ชูจุดแข็งประสบการณ์ธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ยาวนาน 20 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 มิ.ย.64) หลักทรัพย์ บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD จะเข้าทำการซื้อขายในตลาด เอ็ม เอไอ (mai) เป็นวันแรก ด้วยราคาไอพีโอที่ 7.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 388.80 ล้านบาท โดยมี บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ SMD เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ครอบคลุมสินค้าด้านเวชบำบัดวิกฤต (Critical Care) สินค้าด้านการช่วยหายใจและเวชศาสตร์การนอนหลับ (Respiration) สินค้าด้านหทัยวิทยา (Cardiology) และเครื่องมือแพทย์อื่นๆ โดยบริษัทนำเข้าจากผู้ผลิตชั้นนำในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์ และจีน เป็นต้น
โดย SMD มีทุนชำระแล้ว 107 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 160 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 54 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวนไม่เกิน 45.90 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวนไม่เกิน 8.10 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 9 – 11 มิถุนายน 2564 ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 388.80 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,540.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 17.52 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 เมษายน 2563 – 31 มีนาคม 2564) ซึ่งเท่ากับ 87.97 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.41 บาท
นอกจากนี้ บริษัทให้บริการซ่อมบำรุง บริการให้เช่าเครื่องมือแพทย์ และในเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา บริษัทร่วมกับศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลให้บริการตรวจการนอนหลับ ซึ่งเป็นการให้บริการตามสัญญาความร่วมมือฯโดยในปี 2563 บริษัทมีสัดส่วนลูกค้า ได้แก่ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและสถาบันการแพทย์ของรัฐบาลร้อยละ 71 นิติบุคคลและบุคคลทั่วไป โรงพยาบาลเอกชน คลินิคและตัวแทนจำหน่ายร้อยละ 29
ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ภายใต้กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SMD”
ขณะที่ นายวิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMD เปิดเผยว่า กลุ่มผู้บริหารมีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์มานานกว่า 20 ปี โดยบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตกว่า 30 รายทั่วโลก อาทิเช่น Mindray ResMed Mortara Welch Allyn Somnomedics เป็นต้น บริษัทมุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะทางด้านระบบการหายใจและช่วยชีวิต ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ ลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ SMD มีผู้ถือหุ้นหลัง IPO 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มครอบครัวคุณวิเศษพงษ์ ถือหุ้น 24.88% กลุ่มครอบครัววสุศุทธิกุลกานต์ ถือหุ้น 17.94% และกลุ่มครอบครัวบุญประสิทธิ์ ถือหุ้น 17.94% บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมาย
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 9.1 บาท อิง PER ปี 2564 ที่ 21 เท่า อิงจากส่วนลดค่าเฉลี่ยผู้ประกอบธุรกิจคล้ายในไทยและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 22.3 เท่า จากขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า
ทั้งนี้ เงินที่ได้จาก IPO บริษัทจะใช้เป็นเงินทุนรองรับแผนการเติบโตในอนาคต นับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ทั้งการขยายจำนวนเตียงตรวจการการนอนหลับ เพิ่มเป็น 28 เตียงตรวจ ในปี 2566 จากปี 2563 ที่ 4 เตรียงตรวจ เป็นช่องทางต่อยอดหาลูกค้าซื้อเครื่องช่วยหายใจ บวกกับเป็นเงินลงทุนเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าเครื่องมือแพทย์
ประกอบกับแนวโน้มธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือแพทย์เดิมที่ประเมินยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากสังคมสูงวัย ภาพรวมคาดจะช่วยผลักดันกำไรปี 2563-66 เติบโตเฉลี่ยปีละ 19.1%