MEGA มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อ! ยอดขายพุ่ง-ลุยออกสินค้าใหม่ วางเป้าปี 68 กำไรทะลุ 2.5 พันลบ.
MEGA มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อ! ยอดขายพุ่ง-ลุยออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เดินหน้าขยายตลาดอินโดฯเต็มสูบ มั่นใจดันกำไรทะลุเป้า 2.5 พันล้าน ในปี 68
นาย วิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยภาพรวมข้อมูลของบริษัทในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย.65 ว่า กำไรสุทธิในครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ 1,182 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 41.5 จากช่วงเดียวกันของปีอยู่ที่ 569 ล้านบาท การเติบโตขึ้นของกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care” และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น
โดยรายได้จากการดำเนินงานรวม มีมูลค่า 7,750 ล้นบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care”” มีมูลค่า 3,957 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตโดยหลักมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา จากความต้องการของผู้บริโภคที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้รายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare” มีมูลค่า 3,640 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีความท้าทายในประเทศพม่า แต่บริษัทฯก็ยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่บรรลุเป้าหมายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565
ด้านอัตรากำไรขั้นตันโดยรวมปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 43.7 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับร้อยละ 40.2 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตอาจจะน้อยกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนบางส่วน แม้ว่าอาจจะไม่มากเท่ากับกลุ่มสินค้าอื่นๆก็ตาม โดยคาดยอดขายปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 5-10% ซึ่งคาดว่ายังเป็นไปตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกาด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำในตลาด สายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง และการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปแอฟริกา
โดยบริษัทเดินหน้าแผนขยายตลาดไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยา หรือ วิตามิน คาดว่าจะทยอยขึ้นทะเบียนและเริ่มจำหน่ายให้ครบทุกกลุ่มเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้
สำหรับในเมียนมาบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายยา 80% ส่วนอีก 20% ที่เป็นสินค้าอื่น ๆ แม้ว่าการเติบโตจะไม่มากนักจากผลกระทบของการรัฐประหาร แต่บริษัทยังคงสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาได้ตามปกติ และการรับเงินยังอยู่ในภาวะปกติ โดยไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด และเชื่อว่าหากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติผลประกอบการในเมียนมาก็จะกลับมาเติบโตได้ 25-30% เหมือนกับช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ บริษัทยังยืนยันเป้าหมายผลักดันผลประกอบการให้มีกำไรเติบโตเพิ่มเป็นเท่าตัว หรือไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท ภายในปี 68 โดยตลาดในประเทศไทย และเวียดนาม รวมถึงทวีปแอฟริกา เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปีนี้ได้ตามแผนที่ 26 ผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้ว 9 ผลิตภัณฑ์
โดยบริษัทตั้งงบลงทุน 506 ล้านบาท ในช่วงปี 65-66 โดยใช้ในการขยายโรงงานในไทย 295 ล้านบาท ในอินโดนีเซีย 165 ล้านบาท เนื่องจากสามารถขึ้นทะเบียนยาได้หลายชนิดแล้ว และพัฒนาตามแนวทาง ESG อีก 46 ล้านบาท
“หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เกิดขึ้น ส่งผลให้เรามาใช้ชีวิตในรูปแบบ new normal และหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และในขณะเดียวกันเรายังสามารถขยายตลาดในประเทศต่างๆที่เรามีอยู่ แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ทั้งสงคราม รัฐประหาร หรืออื่นๆ เราจึงยังมั่นใจว่าผลประกอบการอาจจะเติบโตกว่าเป้าหมายที่วางไว้กำไรสุทธิ 2,500 ล้าน ในปี 68 ได้”นายวิเวก กล่าว