8 หุ้นอภินิหาร กำไรทะยานกว่า 2 เท่าตัว!
เผยชื่อ 8 หุ้นผลงาน Q3/58 สุดแจ่ม! กำไรเติบโตเกิน 200% แม้จะเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจซบเซา
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ทั้งตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) และ SET ในช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2558 ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากหุ้นที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2558 ที่มีกำไรเติบโตเกิน 200% และเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่อง
เริ่มต้นที่อันดับ 1 บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 887.43 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.04 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 3916% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.01 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.00 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 8.95 พันล้านบาท หรือ 0.44 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1546% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 543.97 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) สำหรับไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ 8,161 ล้านบาทหรือ 14.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาส 3/2557 ที่ 3,357 ล้านบาทหรือ 6.72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 7.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
โดยราคาหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 4.44 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 2.30% สูงสุด 4.48 บาท ต่ำสุด 4.32 บาท มูลค่าการซื้อขาย 875.56 ล้านบาท
อันดับที่ 2 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI และรวมของบริษัทย่อย แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 58 มีกำไรสุทธิ 24.11 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 352.95% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.32 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 59.87 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.15 บาท เพิ่มขึ้น 204.80% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 19.64 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท
ทั้งนี้กำไรไตรมาส 3/58 เพิ่มขึ้นมากส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลุ่มบริษัทมี่รายได้ธุรกิจก่อสร้างไตรมาส 3/58 จำนวน 81.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2.79 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 11.20 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.75% สูงสุด 11.20 บาท ต่ำสุด 10.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 8.80 ล้านบาท
อันดับที่ 3 บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO และรวมของบริษัทย่อยแจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 58 มีกำไรสุทธิ 314.29 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.6513 บาทเพิ่มขึ้น 314% เทียบปีก่อนมีกำไรสุทธิ 75.88 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.1572 บาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 995.56 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.063 บาท เพิ่มขึ้น 985% เทียบปีก่อนมีกำไรสุทธิ 91.72 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.1901 บาท เนื่องจากมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม
โดยราคาหุ้นบริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 21.70 บาท ลบ 0.20 บาท หรือ 0.91% สูงสุด 22.30 บาท ต่ำสุด 21.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 531.59 ล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 116.87 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0331 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 278% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.92 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0088 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 260.61 ล้านบาท หรือ 0.0739 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 712% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.11 ล้านบาท หรือ 0.0132 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น 41.78% โดยส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากต้นทุนน้ามันดิบและเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตลดลงตามราคาน้ำมันดิบที่ลดลง อีกทั้งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กรโดยเฉพาะการผลิตและการตลาดภายใต้โครงการเดลต้าทาให้ GIM เพิ่มขึ้น 0.54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
โดยราคาหุ้นบริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 1.59 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 3.92% สูงสุด 1.60 บาท ต่ำสุด 1.55 บาท มูลค่าการซื้อขาย 33.84 ล้านบาท
อันดับที่ 5 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1.45 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.94 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 242% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 424.53 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.28 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 3.90 พันล้านบาท หรือ 2.53 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 473% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 679.88 ล้านบาท หรือ0.44 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนขายและบริการลดลง โดยต้นทุนราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ในระดับต่ำ
โดยราคาหุ้นบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 41.50 บาท ลบ 0.50บาท หรือ 1.19% สูงสุด 42.25 บาท ต่ำสุด 41.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 335.62 ล้านบาท
อันดับที่ 6 บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA และรวมของบริษัทย่อยแจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 58 มีกำไรสุทธิ 69.44 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.14 บาท เพิ่มขึ้น 226% เทียบปีก่อนมีกำไรสุทธิ 21.33 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.06 บ.
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 140.80 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.33 บาท เพิ่มขึ้น 131.09% เทียบปีก่อนมีกำไรสุทธิ 60.93 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.18 บาท เนื่องจากการขายสวิตช์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อเพิ่มขึ้น และงานบริการวิศวกรรมเพิ่มขึ้น
โดยราคาหุ้นบริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ปิดวันที่ (20 พ.ย.) อยู่ที่ 5.10 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 2% สูงสุด 5.20 บาท ต่ำสุด 5 บาท มูลค่าการซื้อขาย 146.70 ล้านบาท
อันดับที่ 7 บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 6.74 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 202% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.23 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.01 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 60.56 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น ลดลง 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 132.55 ล้านบาท หรือ0.32 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนขายและบริการ ลดลง 166 ล้านบาท คิดเป็น 23% เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 25% ของยอดขาย
โดยราคาหุ้นบริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PK ปิดวานนี้อยู่ที่ 3.90 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 0.51% สูงสุด 3.96 บาท ต่ำสุด 3.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.89 ล้านบาท
อันดับสุดท้าย บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/58 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 28.43 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 201% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.46 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.024 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 75.69 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.133 บาทต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 381.20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.73 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.039 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้มากขึ้นหลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัวจากเหตุความไม่สงบทางการเมืองในปี 2557 นอกจากนี้การที่รายได้มากขึ้นอย่างมากสาเหตุหลักมาจากการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/57 ถึง ไตรมาส 3/58
โดยราคาหุ้นบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA ปิดวันที่ (20 พ.ย.) 10.10 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุด 10.20 บาท ต่ำสุด 10.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 8.55 ล้านบาท
อนึ่ง การที่บจ.ดังกล่าวมีผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 3 ปี 2558 แม้จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ แต่การที่บริษัทยังสามารถทำกำไรได้ดีในภาวะดังกล่าวจึงเป็นการบ่งชี้ว่าบริษัทสามารถบริหารต้นทุน และวางแผนธุรกิจได้ดี ส่งผลให้รายได้ปรับตัวขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจ เป็นที่น่าจับตาว่าในไตรมาสสุดท้ายบริษัทเหล่านี้อาจสามารถทำกำไรได้ดีอีก เนื่องจากทางรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดหวังให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ขณะที่ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นรับผลการดำเนินงานที่ออกมาดีอีกด้วย
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน