3 หุ้นโรงแรมพีคสุดช่วงท่องเที่ยวบูม โบรกประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ”

โบรกฯประสานเสียงเชียร์ซื้อ 3 หุ้นโรงแรม ททท.ยัน Q3 ท่องเที่ยวไทยดีต่อเนื่อง ทัวร์จีนยังยึดเบอร์หนึ่ง


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงการท่องเที่ยวไตรมาส 3/59 ว่า ยังมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะอยู่ที่ 8.30 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14% ส่งผลให้เกิดรายได้มูลค่า 4.23 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% โดยตลาดจีนยังคงเป็นอันดับ 1 ของการเดินทางเข้ามาในไทยอยู่ที่ 2.73 ล้านคน เพิ่มขึ้น 28% รวมถึงยังสร้างรายได้สูงสุดที่ 1.46 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ขณะที่ตลาดการท่องเที่ยวของคนไทยคาดว่าจะมีประมาณ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4% คิดเป็นรายได้มูลค่า 2.12 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ส่งผลให้ภาพรวมการท่องเที่ยวตลอดไตรมาสนี้มีรายได้ 6.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%

ด้านนางศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า อัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของปี 59 ถือว่ามีแนวโน้มดีอย่างมาก โดยไตรมาสแรกอยู่ที่ 80-85% ส่วนไตรมาส 2 อยู่ที่ราว 70-75% ขณะที่คาดกาณ์ว่าไตรมาส 3 จะดีเท่ากับไตรมาส 1 ของปีนี้ หรือมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80-85% ถือว่ามากกว่าปกติ หากเทียบกับช่วงเดียวกันอยู่ที่ 70-75% เนื่องจากมีตลาดการประชุมและจัดนิทรรศการเข้ามาสนับสนุน บวกกับไตรมาส 3 ในปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบทำให้ยอดการเข้าพักน้อยลง

 

ขณะที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาถึง 29.90 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 1.45 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 11% ของจีดีพี เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่า “นักท่องเที่ยวจีน” เป็นกลุ่มที่เข้ามาในไทยมากที่สุด และยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง

โดยสี่เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.59) มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาแล้วจำนวน 3.45 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 27.3% และมีสัดส่วนคิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาไทย ในขณะที่มูลค่าเม็ดเงินที่นำเข้ามาก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2558 ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อหัวเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7 หมื่นบาทเพิ่มขึ้นกว่า 1.5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับห้าปีก่อน

นอกจากนี้ยัง คาดว่าใน 10 ปีข้างหน้าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นกว่า 25 ล้านคน จากปัจจุบัน 8 ล้านคน เนื่องจากไทยเป็นที่รู้จักของชาวจีนมากขึ้นและการเดินทางไม่ไกลนัก 

 

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มโรงแรมซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับผลดีจากกรณีดังกล่าว โดยพบว่ามี 3 บริษัทที่มีความน่าสนใจ ได้แก่ MINT, CENTEL และ ERW

 

อันดับแรก บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา และให้เช่าศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบันเทิงและธุรกิจจัดจำหน่าย

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ ซื้อ MINT ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท โดยคาดว่าในไตรมาส 3/59 กำไรหลักจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ 40% จากปีก่อนเกือบสองเท่าจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากเข้าช่วงไฮซีซั่นอย่างเต็มตัว

ด้านบล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ คาดว่า MINT จะเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 59 อยู่ที่ 33 ล้านคน จากเดิมที่ 32.5 ล้านคน และคาดรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.60%

ขณะที่ราคาหุ้น MINT ปิดตลาด (22 มิ.ย.) อยู่ที่ 39.50 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 1.25% มูลค่าซื้อขาย 173.71 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL  ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตนเอง เซ็นทารา โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เซ็นทรา ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารโรงแรม และธุรกิจอาหารจานด่วนในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ เดอะ เทอเรส และ ริว และแฟรนด์ไชส์ มิสเตอร์โดนัท อาร์ตี้ แอนด์ เค.เอฟ.ซี เปปเปอร์ลันช์ โคล สโตน โยชิโนยะ โอโตยะ เทนยะ คัตสึยะ และ ชาบูตง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ ซื้อ” CENTEL ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท โดยมองว่า CENTEL เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้ประโยชน์การท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาส 3/59 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ยังมีประเด็นบวกจากการที่ล่าสุดมีข่าวว่าบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เล็งจับมือพันธมิตรผุด รร.ประหยัด (Budget hotel) ในปั้มน้ำมัน โดยบล.บัวหลวงคาดว่า CENTEL จะได้รับปัจจัยบวกจากกรณีดังกล่าว

ขณะที่ราคาหุ้นปิดตลาด (22 มิ.ย.) อยู่ที่ 38.75 บาท ลบ 1.25 บาท หรือ 3.12% มูลค่าซื้อขาย 36.79 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนพัฒนาและดำเนินธุรกิจโรงแรมที่สอดคล้องกับทำเล สถานที่ตั้ง และกลุ่มเป้าหมาย เป็นธุรกิจหลัก โดยมีธุรกิจอื่น ได้แก่ ธุรกิจพื้นที่ให้เช่า และธุรกิจบริหารอาคาร

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ERW เป้าหมาย 5.20 บาท โดยคาดปี 59 บริษัทจะมีกำไร 338 ล้านบาท พุ่ง 71% มองอัตราการเข้าพักโรงแรมนิวไฮ จำนวนห้องพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้น 11% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย นอกจากนี้ยังคาดว่า ERW จะได้ประโยชน์จากการที่ PTT เล็งจับมือพันธมิตรผุด รร.ประหยัด (Budget hotel) ในปั้มน้ำมัน เช่นเดียวกับ CENTEL

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ เริ่มต้นแนะนำ “ซื้อ” ERW ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท ด้วยอานิสงส์บวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย บวกกับบริษัทมีแผนขยายโรงแรมเชิงรุกช่วง 5 ปีข้างหน้าที่คาดจะช่วยผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งและคาดยังเพียงพอต่อแผนลงทุน อีกทั้งราคาหุ้นยังมีอัพไซด์กว่า 20% จากราคาพื้นฐานปี 59 ที่ 5.60 บาท และคาดให้ Div. Yield ปีละ 1.6%

ขณะที่บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ERW เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวปี 59 ที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับ MINT

ขณะที่ราคาหุ้นปิดตลาด (22 มิ.ย.) อยู่ที่ 4.52 บาท ลบ 0.08 บาท หรือ หรือ 1.74% มูลค่าซื้อขาย 6.08 ล้านบาท

 

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button