“เสี่ยป.”ตั้งโต๊ะแฉเส้นทาง“ปริญญา”ฟอกเงิน คร่ำครวญเป็น“แพะรับบาป”แก๊งโกงบิตคอยน์
“เสี่ยป.” ตั้งโต๊ะแฉเส้นทาง“ปริญญา” ฟอกเงิน คร่ำครวญเป็น “แพะรับบาป” แก๊งโกงบิตคอยน์
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 10 ส.ค.61 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) บุกจับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต ดารานักแสดงหนุ่มได้ร่วมกับนายปริญญา และนางสาวสุพิชย์ฌา จารวิจิต พี่ชายและพี่สาวข้อหาหลอกนักธุรกิจชาวต่างชาติลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินบิตคอยน์ในประเทศไทยในชื่อ ดราก้อน คอยน์ (Dragon Coin) มูลค่า 5,564.44 เหรียญบิทคอยน์ คิดเป็นเงินสกุลไทย 797.40 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวมีชื่อของนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ของเมืองไทยเข้ามาเกี่ยวข้อง
ล่าสุด ในวันนี้ (20 ส.ค.2561) นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เปิดแถลงข่าว โดยยืนยันว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้เสียหายในคดีฉ้อโกงที่มีความเกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ และการซื้อขายหุ้น บริษัท ดีเอ็มเอ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ DNA จากการทำหน้าที่ Deal Maker ในกลุ่มที่ทำธุรกิจร่วมกับนายปริญญา จารวิจิต ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญในคดี ซึ่งมีนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา หรือ อาร์นี่ ชาวฟินแลนด์ และนางสาวชนนิกานต์ แก้วกาสี หรือ แตงโม เป็นผู้เสียหายหลักในคดี
“เราต่างได้รับความเสียหายร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาร์นี่ และแตงโม ส่วนกลุ่ม 2 คือ ผม เสียหายหุ้นให้กับนายปริญญา โดยลูกค้าของผมโอนเข้าปริญญา โดยใช้เครดิตจากตัวผม” นายประสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนี้ยังระบุว่า ตัวเขาถูกเรียกด้วยฉายาต่างๆ ทั้งซุปตาร์โบรกเกอร์ มนุษย์ทองคำ ซีอีโอหมื่นล้าน และเจ้าพ่อตลาดหุ้น แต่ขณะนี้ตนเองตกเป็นแพะรับบาปในเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากได้รู้จักกับนายปริญญา ผ่านเฟซบุ๊กจากการที่ได้ไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ Blockchain มาจากประเทศสิงคโปร์
โดยต่อจากนั้น นายปริญญา ได้พาได้พานายอาร์นี่ และนางสาวแตงโม มาทำความรู้จัก และสนิทสนมกัน ซึ่งจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจด้วยกัน 4 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย นายปริญญา ซึ่งมีคอนเน็กชันในเกาหลี และมาเก๊า ส่วนชาคริส อาห์มัด มีคอนเน็กชันในยุโรป และเป็นผู้สัญญากับอาร์นี่ และอาร์นี่ มีความสามารถพิเศษด้านความรู้ความสามารถที่ทันสมัย และอัจฉริยะด้าน blockchain ส่วนตนเองทำหน้าที่ Deal Maker เพราะมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับหุ้น เมื่อทุกองค์ประกอบครบจึงจัดตั้งฟอร์มทีมงานเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากทำงานร่วมกันได้ไม่ถึง 4 เดือน ทั้งตนเอง และนางสาวแตงโม เริ่มสงสัย เพราะไม่มีการโอนค่าหุ้นให้ลูกค้า และไม่โอนเงินเข้าบริษัท ขณะที่นายปริญญา มีพฤติกรรมแปลกๆ ทำให้เกิดมีปากเสียง และแตกคอกันจนกระทั่งต้องยุติการร่วมงานกัน จากนั้น มีผู้ใหญ่ในวงการแนะนำให้รู้จักผู้กองธรรมมนัส ให้เข้ามาเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ย ซึ่งนายปริญญา มีความเกรงใจ จึงโอนหุ้นมาฝากไว้ที่ผู้กองกว่า 400 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นหุ้นที่นายปริญญา ยังชำระค่าหุ้นไม่ครบ จึงเป็นหุ้นที่โดนล็อกจำนำ โดยผู้กองธรรมมนัส ระบุว่า หากเรื่องคลี่คลายก็จะทำการโอนหุ้นคืนไปยังลูกค้า
ขณะที่ผู้กองธรรมมนัส ได้เจรจาให้นายประสิทธิ์ ในฐานะ Deal Maker หาซื้อหุ้น DNA ให้ได้มากกว่า 65% ในราคาไม่เกิน 1.50 บาทต่อหุ้น เนื่องจากผู้กองธรรมมนัส และเพื่อนนักธุรกิจ ต้องการทำธุรกิจที่มีศักยภาพในอนาคต ส่วนนายอาร์นี ได้รับหุ้น DNA ในวันที่ 3 พ.ย. 60 จำนวน 185 ล้านหุ้น ราคา 1.23 บาท เป็นเงิน 227.55 ล้านบาท และวันที่ 17 พ.ย. 60 จำนวน 160 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.50 บาท เป็นมูลค่า 240 ล้านบาท พร้อมทั้งมีเอกสารลงนามของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หลังจากนั้น ผู้กองธรรมนัส ได้หารือเรื่องธุรกิจ และให้ผลหาซื้อหุ้น DNA เพื่อลงทุนต่อไป เพราะเห็นว่า เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี น่าลงทุนในระยะยาว และอยากขอบคุณผู้กองธรรมนัสที่เข้ามาช่วยเจรา”
ส่วนกรณีตำรวจบุกไปที่บ้าน ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาจริง แต่เป็นการพูดคุยสอบถามกันอย่างสุภาพ และ 15 ส.ค.2561 ที่ผ่านมาตนได้เดินทางไปกองปราบโดยไม่มีหมายเรียก แต่ไปเพื่อให้ปากคำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และยืนยันว่า พร้อมจะให้ปากคำตลอดเวลาที่กองปราบต้องการ