เช็ก! กทม.ปรับค่าโดยสาร BTS “สายสีเขียว” ใหม่ ดีเดย์ใช้ 16 ก.พ.64
เช็ก! กทม.ปรับค่าโดยสาร BTS “สายสีเขียว” ใหม่ ดีเดย์ใช้ 16 ก.พ.64
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 ม.ค.64) กรุงเทพมหานคร(กทม.) ได้เผยแพร่ประกาศ กรุงเทพมหานคร ลงนามโดยพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยมีเนื้อหาดังนี้ ด้วยปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้เปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแก่ประชาชน ตลอดแนวเส้นทาง และจะดำเนินการจัดเก็บค่าโดยสารโดยไม่มีการเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน อาศัยอำนาจตามข้อ 4 แห่งข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2552 จึงมีประกาศ ดังต่อไปนี้
1.ยกเลิกประกาศกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 เรื่อง ค่าโดยสารโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 (ชอยสุขุมวิท 85 ชอยสุขุมวิท 107 ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายสายสีลม ตอนที่ 2 (ตากสิน–เพชรเกษม) ระยะทาง 6.3 กิโลเมตร
2.ในประกาศนี้ กำหนดดังนี้
(1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต หมายถึง โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว จากสถานีห้าแยกลาดพร้าว (N9) ถึงสถานีคูคต (N24) จำนวน 16 สถานี
(2) โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร หมายถึง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามแนวเส้นทางสัมปทานแบ่งเป็นสายสุขุมวิท 17 สถานี จากสถานีอ่อนนุช (E9) ถึงสถานีหมอชิต (N8) และสายสีลม จำนวน 6 สถานี จากสถานีสนามกีฬาแห่ชาติ (W1) ถึงสถานีสะพานตากสิน (S6) รวมจำนวน 23 สถานี
(3) โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงที่ 1 หมายถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายสายสีลม ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร จากสถานีกรุงธนบุรี (S7) ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ (ร8) จำนวน 2 สถานี
(4) โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท หมายถึง โครงการรถไฟฟ้าสายสีขียวส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร จากสถานีบางจาก (E10) ถึงสถานีแบริ่ง (E14) จำนวน 5สถานี
(5) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ หมายถึง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จากสถานีสำโรง(E15) ถึงสถานีเคหะสมุทรปราการ (E23) จำนวน 9 สถานี
(6) โครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงที่ 2 หมายถึง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายสายสีลม ระยะทาง 5.3 กิโลเมตร จากสถานีโพธิ์นิมิตร (S9) ถึงสถานีบางหว้า (S12) จำนวน 4 สถานี
3.ให้จัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
(1) ค่าโดยสารในเส้นทาง ตามข้อ 2(1) กำหนดในอัตรา 15-45 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี)
(2) ค่าโดยสารในเส้นทาง ตามข้อ 2(2) และข้อ 2(3) เป็นไปตามตารางค่าโดยสาร ที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) กำหนด
(3) ค่าโดยสารในเส้นทาง ตามข้อ 2(4) และข้อ 2(5) กำหนดในอัตรา 15-45 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี)
(4) ค่าโดยสารในเส้นทาง ตามข้อ 2 (6) กำหนดในอัตรา 15-24 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี)
การจัดเก็บค่าโดยสารแรกเข้าตามข้อ 3 (1) ถึง 3(4) ให้จัดเก็บเพียงครั้งเดียว และให้จัดเก็บ อัตราค่าโดยสารตลอดเส้นทางไม่เกิน 104 บาท ตามตารางแนบท้ายประกาศนี้ ตั้งแต่วัน 16 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ กทม.ยังได้ออกคำชี้แจงของต่อการปรับอัตราค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งหมด ดังนี้ สืบเนื่องจากการเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ และหมอชิต–สะพานใหม่–คูคตที่ทยอยเปิดให้บริการเดินรถตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2561 และเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบ ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยในช่วงทดลองให้บริการซึ่งยังไม่มีการเดินรถเต็มรูปแบบไม่มีการเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปีมาแล้ว เนื่องจาก กทม.ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน
บัดนี้เมื่อมีการเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบแล้ว ประกอบกับ กทม.มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดิน รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการในส่วนต่อขยายสายสีเขียวตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 โดยผู้ใช้บริการในส่วนหลัก ช่วงหมอชิต–อ่อนนุช จะไม่ได้รับผลกระทบยังคงเสียค่าโดยสารในอัตราเดิม และจะไม่มีการเรียกเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนกันระหว่างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก(หมอชิต–อ่อนนุช และสะพานตากสิน–สนามกีฬาแห่งชาติ) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (ช่วงสะพานตากสิน–บางหว้า และอ่อนนุช–แบริ่ง และช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ และหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต) โดยประชาชนจะจ่ายค่าแรกเข้าสำหรับการใช้บริการโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพียงครั้งเดียวต่อรอบ ปรากฏตามตารางด้านล่างนี้
ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารของโครงการสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะอยู่ที่ 158 บาท แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 กทม.จะปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ซึ่ง กทม.จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาทเมื่อนับรวมตั้งแต่ปี2564 จนถึงปี 2572 จะมีผลขาดทุนถึงประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท รายละเอียดปรากฏตามตารางเปรียบเทียบด้านล่างนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กทม.ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนจากการปรับอัตราค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยกทม.ได้พยายามหาทางแก้ไข รวมถึงศึกษาแนวทางการดำเนินการต่างๆ ซึ่ง กทม.เห็นว่าแนวทางการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เป็นแนวทาง ที่เหมาะสมและดีที่สุดในการที่จะมาแก้ปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะให้เอกชนเข้ามารับภาระหนี้สินของ กทม.เพื่อที่จะทำให้กทม.สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชนจนเกินสมควร และจะทำให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่ปลอดภัย สะดวก และมีประสิทธิภาพอยู่เหมือนเดิม
โดยในปัจจุบันนี้ กทม.อยู่ระหว่างการนำเสนอแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งหากมีการเห็นชอบแล้ว การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้จะช่วยลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดจาก 104 บาท เป็น 65 บาท ลดลง 39 บาท และแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม.ได้ ซึ่งประกอบด้วย ภาระหนี้สินเดิมที่เกิดขึ้นจากการรับโอนโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งในส่วนเงินต้นค่างานโยธาที่ประมาณ 55,000 ล้านบาทและภาระดอกเบี้ยในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ค่าลงทุนในงานระบบ (E&M) ในส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 20,000 ล้านบาท ภาระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถค้างจ่ายอีกประมาณ 9,000 ล้านบาท และภาระผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 รวมอีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท นอกจากนี้ เอกชนยังต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม.อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าที่คาดการณ์ตอนเจรจา
กทม.ยืนยันว่า ภายใต้อำนาจของ กทม.จะพยายามแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างดีที่สุดเพื่อให้ลดผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดย กทม.จะอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับจากการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อรัฐบาล เพื่อที่จะให้สามารถปรับอัตราค่าโดยสารให้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายลดลงมาเหลือ 65 บาทโดยเร็วที่สุด