รมว.คลัง รับศก.ไทยปีนี้ยังโตช้า-ย้ำไม่มีแนวคิดขึ้น VAT เล็งต่อเวลาคงอัตรา 7% อีก 1 ปี

รมว.คลัง รับศก.ไทยปีนี้ยังโตช้า-ย้ำไม่มีแนวคิดขึ้น VAT เล็งต่อเวลาคงอัตรา 7% อีก 1 ปี


นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มาตรการรัฐ : ขับเคลื่อนอสังหาฯ ฟื้นเศรษฐกิจไทย” โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 ยังโตช้า คาดอัตราการขยายตัวอยู่ในช่วง 2.5-3.5% แต่รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้ขยายตัวได้ถึง 4% ก่อนกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2566-2567 ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคธุรกิจต้องไปด้วยกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีขึ้น แม้จะเป็นการฟื้นตัวแบบช้า ๆ ก็ตาม

“ผมได้ชี้แจงในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนไปว่า ตัวเลข GDP จะขยายตัวต่ำหรือสูงไม่สำคัญ แต่สำคัญที่คุณภาพของการเติบโต และมีความต่อเนื่องมากกว่า อย่างของไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตเพิ่มได้อีก 2% เช่น ถ้าคาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ 2.5-3.5% นั่นหมายความว่าไทยมีโอกาสที่จะเติบโตได้ถึง 4.5-5.5% โดย 2% ที่เพิ่มนั้นจะมาจากประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ที่หลังจากสถานการณ์โควิดมีการปรับตัวได้ดีหรือไม่ ถ้ามีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ก็จะเป็นอีกส่วนในการสนับสนุนอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวอีกว่า หลังจากการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วในปี 2566-2567 ผ่านปัจจัยสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านน้ำ และด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันให้ภาคเอกชนเดินหน้าลงทุน รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย ตลอดจนปัจจัยเรื่องการท่องเที่ยวและบริการ ผ่านมาตรการสำคัญคือการผ่อนคลายและเริ่มเปิดประเทศ เปิดการท่องเที่ยว เริ่มที่ภูเก็ต สมุย พัทยา และเชียงใหม่ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 ก่อนที่จะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 ภายใต้กติกาสากลที่ทั่วโลกกำหนด ที่แม้จะไม่มีการกักตัว แต่จะต้องมีการฉีดวัคซีนและมีเอกสารรับรอง ซึ่งจะเป็นเครื่องการันตีความปลอดภัย เหล่านี้จะเป็นแสงสว่างให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564-2565

รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมออกมาตรการเพื่อดึงสภาพคล่องส่วนเกินในระบบสถาบันการเงินที่มีอยู่สูงถึง 2-2.5 ล้านล้านบาท ออกมาใช้ประโยชน์ ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่มีอยู่จำนวนมาก เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องลงทุนหลังจากไทยเสียเวลาไปกว่า 1 ปีจากการระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ รมว.คลัง ยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 7% โดยหลังจากครบกำหนดการลดอัตราการจัดเก็บภาษี VAT ไว้ที่ 7% ในวันที่ 30 ก.ย. 2564 กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายเวลาการคงอัตราการจัดเก็บที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564-2565 ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว และประชาชนยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ข้อเสนอใน ครม.ให้คลังขึ้นภาษี VAT ยังไม่เห็น ไม่มี เรื่องนี้ไม่ทราบ ส่วนปี 2564-2565 จะมีการขึ้นภาษีตัวใหม่หรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้ จะต้องขอรอดูผลการศึกษาของคณะกรรมการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี โดยเรื่องนี้ได้ให้นโยบายตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่งแล้ว” นายอาคม กล่าว

สำหรับการศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีจะต้องพิจารณาเรื่องการจัดเก็บรายได้ให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมใหม่ รวมทั้งโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลให้ง่ายขึ้น สามารถแข่งขันได้ ซึ่งอัตราภาษีปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในระดับต่ำแล้ว และเป็นแนวโน้มเดียวกันกับประเทศคู่แข่ง

ขณะที่การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่นั้น รมว.คลัง กล่าวว่า จะต้องติดตามในเดือน มิ.ย.นี้ หลังจากขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2563 ออกไปจากเดือน มี.ค.2564 เมื่อนั้นจึงจะตอบได้ว่ารายได้ปีนี้จะหลุดเป้าหมายหรือไม่ แต่การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่ภาษีเพียงอย่างเดียว มีทั้งเงินนำส่งของรัฐวิสาหกิจ การกู้เงิน ซึ่งมีหลายทางที่จะนำมาปิดงบประมาณได้ ทำให้การใช้งบประมาณเป็นไปตามปกติ

 

Back to top button