WTI ร่วง 1.5% กังวลดีมานด์ชะลอตัว – เฟดขึ้นดบ.เร็วกว่าคาด
WTI ปิดร่วง 1.5% อยู่ที่ 71.04 ดอลลาร์/บาร์เรล เหตุกังวลดีมานด์ชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด และเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม 1 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (17 มิ.ย.) โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิมถึง 1 ปี นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมัน หลังมีรายงานว่าอังกฤษพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นรายในวันเดียว
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. ร่วงลง 1.11 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 71.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
อีกทั้งสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ส.ค. ร่วงลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 73.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน พุ่งขึ้น 0.79% แตะที่ 91.8715 เมื่อคืนนี้ ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น
สำหรับปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าและสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันนั้น มาจากการที่เฟดส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าการคาดการณ์เดิมถึง 1 ปี
ส่วนในการประชุมครั้งล่าสุดนี้เฟดได้เปิดเผยรายงาน dot-plot ซึ่งระบุว่า กรรมการเฟด 13 ใน 18 รายคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2566 นอกจากนี้เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 3.4% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 2.4%
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน หลังมีรายงานว่า อังกฤษพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่สูงถึง 11,007 ราย ณ วันพฤหัสบดีที่ 17 มิ.ย. ซึ่งเป็นตัวเลขการติดเชื้อรายงานที่สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ.ปีนี้