“ภูมิธรรม” เตรียมลง “เกาะกูด” 9 พ.ย.นี้ ตอกย้ำเขตอธิปไตยไทย
รองนายกฯ “ภูมิธรรม เวชยชัย” พร้อม ปลัดกลาโหม-เสธ.ทร. เตรียมลงพื้นที่ “เกาะกูด” 9 พ.ย. นี้ พร้อมย้ำ “MOU 44” เป็นกลไกรักษาผลประโยชน์คนไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 พ.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า วันที่ 9 พ.ย. นี้ ตนจะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดน ที่ อ.เกาะกูด จ.ตราด โดยมี 2 ประเด็น คือ
1.จะเดินทางไปหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด กองทัพเรือ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ ดูแลทุกข์สุขกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด ที่อยู่เฝ้าชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเกาะกูด
2.ไปเพื่อยืนยันให้ชัดเจนว่า ประเทศไทยเป็นเจ้าของเกาะกูด และบนเกาะกูดเป็นเขตอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งมีหน่วยราชการและประชาชนอาศัยอยู่ด้วย เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจและมั่นใจขึ้น
ทั้งนี้ ตนจะเดินทางไปพร้อมกับปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการ รมว.กลาโหม และเสนาธิการกองทัพเรือ
“ไปดูสถานที่จริง เพื่อเวลาคุยกันตรงนี้จะได้พูดกันได้ชัดเจนว่า เราได้ไปเห็นมาแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าในบรรยากาศความรู้สึกของคนที่อยู่ที่นั่น เขาก็อย่างมั่นใจว่าเขาเป็นคนไทยและอยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ส่วนกำลังทหารทั้งหมดก็มั่นใจว่าทำหน้าที่ในการรักษาดินแดนและอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครมารุกล้ำ และจะรักษาพื้นที่ไว้ไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าว
ส่วนจะมีเรื่องของการพัฒนาของกองทัพหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า จะไปดูสภาพว่าเป็นอย่างไร จะต้องมีการพัฒนาและแก้ไขอย่างไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอันนี้เป็นพื้นที่ของเราที่รัฐบาลจะดำเนินการดูแล แก้ไข และพัฒนาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยอยู่แล้ว ทั้งนี้เรื่องการตรวจเยี่ยมกำลังพลเป็นหน้าที่ที่ตนพยายามทยอยไปอยู่แล้ว หากไปที่จังหวัดไหนก็จะไปตรวจเยี่ยมหน่วยและกำลังพลตรงนั้น
สำหรับความคืบหน้าแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค หรือ Joint Technical Committee: JTC นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพูดไปแล้วว่าน่าจะไม่เกิน 2 อาทิตย์ จะสามารถจัดตั้งได้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศก็คงจะต้องดูตรงนี้ให้เหมาะสม แต่ว่าเราดำเนินการอยู่แล้ว โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการดึงเอาคณะกรรมการมาทบทวน เพื่อเสนอให้ครม. พิจารณาอีกครั้ง ฃ
โดยส่วนใหญ่ตามโครงสร้างเดิมให้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานคณะกรรมการ และประกอบด้วย ตัวแทนกระทรวงกลาโหม, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และจะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการอีก 2 ชุด ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดสรรพื้นที่ทางทะเล หรือคณะกรรมการที่จะเจรจาในเรื่องเหล่านี้ ซึ่ง กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพในการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมครม. ก็ต้องมารอดูตรงนั้นอีกทีเรื่ององค์ประกอบว่า ครม.จะเห็นว่าใครเหมาะสม ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงอย่างไรขึ้นอยู่กับมติครม.
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนมองความพยายามของรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการชี้แจงข้อเท็จจริงครั้งนี้ จะช่วยลดความสับสนลงไปได้บ้าง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการกุข่าว เป็นการพูดที่เลื่อนลอย โดยไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง
ย้ำเกาะกูดเป็นของไทยมานานแล้ว ไม่เคยมีคำถาม คนไทยก็ใช้ชีวิตที่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ หน่วยราชการไทยก็ตั้งอยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ไม่เคยเป็นปัญหา เพียงแต่หยิบยกขึ้นมาเพื่อมาใช้สร้างประเด็นทางการเมือง
“พอไล่ดูไปทั้งหมดมีความชัดเจน ก็จะเห็นว่าเกาะกูดเป็นของไทยมาตลอด รัฐบาลต่าง ๆ ก็พยายามสนับสนุนให้มี MOU 44 ได้ดำเนินการต่อไป เพราะถือว่าเป็นกลไก และเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการที่เราจะเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล เป็นการประกาศไหล่ทวีปในขอบเขตของน่านน้ำเท่านั้นเอง ซึ่งต่างคนต่างประกาศจึงจะต้องใช้ MOU 44 มาเจรจากันในเรื่องที่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน สิ่งสำคัญทุกจุดตรงนี้ก็เป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ทางทะเลจะต้องคุยกัน ซึ่งข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือ อยู่บนความพึงพอใจในสองประเทศ ซึ่งประเทศไทยยืนยันว่า จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและรักษาทุก ๆ อย่างที่คิดว่าจะอำนวยประโยชน์ให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุด” นายภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้าย