“จุลพันธ์” เปิด “มหกรรมการเงินเชียงใหม่” ดันไทยสู่ฮับการเงินอาเซียน

“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” รมช.คลัง เผย รัฐบาลมุ่งส่งเสริม "เศรษฐกิจดิจิทัล" ผลักดัน ไทยเป็น “ฮับการเงิน” ของอาเซียน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 พ.ย. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 19 (MONEY EXPO 2024 CHAINGMAI) ภายใต้แนวคิด Digital Finance for All การเงินดิจิทัลเพื่อทุกคน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

โดยสรุป นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัล และสนับสนุนให้ประชาชนทุกระดับ ธุรกิจ SMEs สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินและการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมกันทั่วประเทศ งานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ เปิดโอกาสให้ประชาชนในภาคเหนือ สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างกว้างขวาง โดยผลลัพธ์จากงานที่ผ่านมา 18 ครั้ง มีจำนวนผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 1,120,000 คน เกิดมูลค่าธุรกรรม รวมถึง 215,930 ล้านบาท โดยครั้งล่าสุดพบว่า มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 35,000 คน มูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 8,050 ล้านบาท

รัฐบาลมีนโยบายและวิสัยทัศน์ชัดเจนในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระบบการเงิน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงเร่งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับประชาชนในอัตราที่เหมาะสม

ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการเงินของไทยแข็งแกร่งขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการท่องเที่ยว แต่การพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมการเงิน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดึงอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้นเข้ามาในประเทศ ผ่านการส่งเสริมให้เกิดธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) หรือการค้ำประกันสินเชื่อที่จะสร้างความทั่วถึงด้านการเงินให้กับคนไทย บนความเชื่อมั่นว่า ยิ่งคนไทยเข้าถึงระบบการเงินได้สะดวกมากขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งนำไปสู่การลงทุน การสร้างงาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นมากเท่านั้น

แนวคิดนี้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการคลังที่ร่วมกันออกใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เน้น เป้าหมายเป็นประชาชนและธุรกิจ SMEs ที่เพิ่งเริ่มประกอบธุรกิจและยังไม่เคยได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขาและคาดว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2 ของปี 2568

นอกจากนี้ นโยบายของกระทรวงการคลัง ที่กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIs) มีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน ผ่านหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

1.หลักการ Financial for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งเงินทุนไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต

2.หลักการ Literacy for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ยกระดับศักยภาพของลูกหนี้ เพิ่มพูนองค์ความรู้ทางการเงิน ความรู้ในการประกอบธุรกิจ และความรู้ด้านดิจิทัล

3.หลักการ Responsibility for all ที่มุ่งเน้นให้ SFIs ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อลูกค้า และผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง ยึดหลักการธนาคารเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมให้ยกระดับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งผ่านนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ได้ออกใบอนุญาตให้มีการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) โดยผู้ถือโทเคนดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ตามที่ผู้ออกหน่วยลงทุนกำหนด

ส่วนมาตรการของภาครัฐช่วยเหลือประชาชนระหว่างการเกิดอุทกภัยที่ผ่านมานั้น รัฐบาลและธนาคารของรัฐได้มีมาตรการลดดอกเบี้ยเงินกู้ ขยายเวลาชำระหนี้ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คือมาตรการพักชำระหนี้สำหรับเกษตรกรในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตประสบภัย สามารถแจ้งความประสงค์ขอเลื่อนระยะเวลาชำระหนี้สุงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยปรับ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับลูกหนี้เกษตรกรที่มีหนี้ค้างชำระ (NPL) ขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ถึง 20 ปี และยกเว้นดอกเบี้ยปรับ

นอกจากนี้ มีโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 67/68 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย MRR (6.875%) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปีปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก

ขณะที่โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว มอบสิทธิ์ส่วนลด 50% รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ ให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่า สามารถสร้างรายได้ให้กับภาคเหนือได้ไม่น้อยกว่า 44.34 ล้านบาท

Back to top button