หนังสยองขวัญอีกหนึ่งเรื่องเตรียมลงจอ!

มหากาพย์เรื่องยาวของกรีซ ณ นาทีนี้ ดูเหมือนจะสร่างซาลงไปพอสมควรแล้ว หลังรัฐสภากรีซมีมติอนุมัติร่างกฏหมายปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงที่รัฐบาล นาย ซีปราส ได้ทำไว้กับกลุ่มเจ้าหนี้ยูโรโซน ซึ่งการยอมรับเงื่อนไขของกรีซในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


–ตามกระแสโลก–

 

มหากาพย์เรื่องยาวของกรีซ ณ นาทีนี้ ดูเหมือนจะสร่างซาลงไปพอสมควรแล้ว หลังรัฐสภากรีซมีมติอนุมัติร่างกฏหมายปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงที่รัฐบาล นาย ซีปราส ได้ทำไว้กับกลุ่มเจ้าหนี้ยูโรโซน ซึ่งการยอมรับเงื่อนไขของกรีซในครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับร่างกฎหมายที่ได้ผ่านสภาไปแล้วนั้น ประกอบไปด้วย หนึ่ง กฎหมายเพิ่มรายได้จากภาษี สอง การเปิดเสรีตลาดแรงงาน และ สาม การปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่มและเงินบำนาญ โดยการโหวตในครั้งนี้ มีมติที่เห็นชอบด้วย จำนวน 229 เสียง จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 299 คน ซึ่งผลที่ออกมาเช่นนี้ ถือเป็นการปูทางที่ดี ที่กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นครั้งที่ 3

ซึ่งผลก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เพราะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางยูโรกรุ๊ปก็ได้ตกลงกันว่า จะยอมให้กรีซกู้เงินจากกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป หรือ ESM เพิ่มเติม เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยนี่ถือเป็นของขวัญชิ้นงามสำหรับกรีซ ที่เลือกจะกลับตัวกลับใจ แล้วเลิกทำตัวเป็นเด็กดื้อ แม้ว่าหลายคนอาจจะสบประมาทกรีซไว้ ว่าคงจะอดทนรัดเข็มขัดไปได้อีกไม่กี่น้ำหรอก แต่อย่างน้อยที่สุด ตลาดทั่วโลกก็คลายวิตกเรื่องนี้ไปได้มากแล้ว

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงแม้จะเกิดอาเพศอะไรก็ตามที่ทำให้กรีซเป็นไปตามคำสบประมาท แล้วส่งผลให้วิกฤตกรีซถอยกลับไปสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง มันก็จะไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมายกับคนอื่นซักเท่าไหร่หรอก โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ซึ่งจริงๆแล้ว ไอ้เรื่องนี้มันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แค่ดันมีพวกกระต่ายตื่นตูมที่ชอบปลุกปั่นกระแส เข้ามาสร้างภาวะขนหัวลุกเท่านั้นเอง    

หากถามว่า ทำไมถึงไม่น่ากลัว? ก็เพราะก่อนหน้านี้ ตลาดทุกตลาดได้ซึมซับเรื่องพวกนี้กันไปหมดแล้ว และมันคงจะแย่ไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว นอกเสียจากมีเรื่องใหม่ๆที่เป็นประเด็นเชิงลบเข้ามาช่วยกดดันอีกแรงหนึ่ง อีกทั้งถ้าวัดจากขนาดเศรษฐกิจของกรีซแล้ว จีดีพีคิดเป็นแค่ประมาณ 2% ของกลุ่มยูโร ประชากรก็มีแค่ 11 ล้านคน มันจิ๊บจ๊อยเกินกว่าจะสร้างผลกระทบได้อย่างจริงๆจังๆ และที่สำคัญเจ้าหนี้ทั้งหลายของกรีซส่วนใหญ่ก็เป็นภาครัฐ ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือภาคเอกชน เหมือนสมัยที่มีโปรตุเกส สเปน และอิตาลี เป็นแนวร่วมลูกหนี้ด้วย

ณ ตอนนี้ เรื่องกรีซก็คงจะจบไปแต่เพียงเท่านี้ แล้วก็มาถึงประเด็นที่ว่า มีหนังสยองขวัญอีกหนึ่งเรื่องกำลังจะเข้าฉาย ซึ่งก็คือหนังสยองขวัญเรื่อง “เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย” นั่นเอง!

 

ถ้าดูกันจริงๆ ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงมากกว่า ตอนนี้คือ เรื่องเฟด หรือ ธนาคารกลางหสรัฐฯ กำลังมีแผนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะของจริงที่จะส่งผลกระทบได้ในวงกว้างอย่างแท้จริง ก็คือเรื่องนี้นี่แหละ และหากดูจากท่าทีและท่วงทำนองของ แจเนต เยลเลน ที่มีถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรส เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นทีเรื่องนี้จะเป็นฝันร้ายที่กลายเป็นจริงสำหรับตลาดเกิดใหม่อย่างบ้านเราซะแล้ว โดยเธอพูดชัดเจนแล้วว่า ดอกเบี้ยสหรัฐฯจะมีความเคลื่อนไหวภายในปีนี้อย่างแน่นอน  

ส่วนผลกระทบที่จะตามมาจากเรื่องนี้ ก็เป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากความกังวลเรื่องเม็ดเงินต่างชาติกำลังจะไหลกลับไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีเงินทุนไหลเข้ามาในบ้านเราจำนวนมาก ช่วงที่สหรัฐฯเริ่มใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ซึ่งส่งผลให้มีเงินลงทุนไหลเข้ามา ทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นที่คนส่วนใหญ่กำลังวิตกอยู่ ณ ขณะนี้ คือ ความผันผวนขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้นในตลาดบ้านเรา รวมไปถึงตลาดเกิดใหม่อื่นๆ หากว่าเม็ดเงินเหล่านั้น ไหลออกไปพร้อมกันทีเดียวแบบรวดเดียวจบ

 

หากถามว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงน่ากลัวกว่า? ก็เพราะว่า ผลกระทบมันจะเห็นเป็นรูปธรรมได้มากกว่า ทั้งทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ มันจะสามารถสร้างผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุนได้อย่างร้ายกาจเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนไทยควรปฏิบัติหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คือต้องมีสติ และอย่าไปแตกตื่นกับปัจจัยนอกประเทศมากนัก แล้วก็ขอให้มีความมั่นใจว่า ปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนจากในประเทศมีศักยภาพมากพอที่จะสามารถขับเคลื่อนตลาดไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเม็ดเงินต่างชาติมากเท่ากับแต่ก่อน

เพราะฉะนั้น เราจึงควรช่วยกันมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆในบ้านเรา ทั้งกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน รวมไปถึงการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเป็นการเสริมสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากทำได้จริง เราก็ไม่ต้องมาคอยหวาดระแวงซักเท่าไหร่ว่า เรื่องกรีซจะจบลงอย่างไร? หรือ เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่? ดั่งเช่นที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้      

Back to top button