ตลาดหุ้นไทยต้องลุ้นกันไปยาวๆ…
หุ้นไทยสัปดาห์หน้า มีเรื่องต้องให้ลุ้นกันอีกหลายระลอก แต่กูรูผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านกล่าวว่า “สถานีต่อไป 1,400 เน๊กสเตชั่น 1,400”
–ตามกระแสโลก–
ราคาน้ำมันช่วงนี้ถือว่า ปรับตัวขึ้นแรงทีเดียว หลังลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน โดยเด้งกลับมายืนในระดับประมาณ 45-46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับ “เวสต์เท็กซัส” และ 49-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับ “เบรนท์”
ปัจจัยสนับสนุนหลักที่ดันราคาน้ำมันรอบนี้คือ การเก็งกำไรในสัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้า โดยอาศัยข่าวเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯบางตัวเป็นกิมมิคในการเล่น ส่วนปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีเรื่องอะไรที่เข้ามาสนับสนุนได้อย่างจริงๆจังๆ
ในภาพรวม การปรับตัวขึ้นรอบนี้คงไม่น่าจะจีรังซักเท่าไหร่ เหตุเพราะอุปสงค์ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงยังไม่สามารถขยายตัวให้สอดคล้องตามอุปทานที่ยิ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวันได้ โดยขณะนี้ อุปทานส่วนเกินอยู่ที่ราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
การขึ้น-ลงด้วยแรงเก็งกำไรเที่ยวนี้ สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกพอสมควร อย่างเช่นเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ที่พวกเฮดจ์ฟันพากันแห่ปิดสถานะ “ลอง” ราคาน้ำมันก็ดิ่งลงฮวบฮาบเกินกว่า 4 ดอลลาร์ โดยเฉลี่ย
ดัชนีดาวโจนส์ก็ซึมซับรับประเด็นนี้โดยทันที โดยปรับตัวร่วงลงถึง 470 จุด หรือกว่า 3% พวกแนสแด็ก แดกซ์เยอรมัน นิกเกอิ ฮั่งเส็ง ช่างไห่ เซินเจิ้น ก็ไม่รอด แถมยังพาลมาเล่นงานตลาดบ้านเราด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเพราะหุ้นน้ำมันมีน้ำหนักมากที่สุดต่อดัชนีของตลาดหุ้นทั่วโลก เรียกว่าเกือบจะทุกประเทศทีเดียว อย่างในตัวดาวโจนส์ของสหรัฐฯ มีบริษัทน้ำมันบิ๊กเบิ้มอยู่ถึง 2 บริษัท คือ “เชฟรอน” และ “เอกซอน โมบิล” และยังมีหุ้นน้ำมันอีกหลายร้อยตัวในดัชนีอื่นของสหรัฐฯ
สำหรับสัปดาห์หน้า จะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่การซื้อ-ขายหุ้นจะถือว่าน่าสนใจมาก โดยไฮไลท์สำคัญยังหนีไม่พ้นเรื่องความเคลื่อนไหวของ “เฟด” ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่จะมีการประชุมกันในวันที่ 16-17 กันยายนนี้
โดยสัปดาห์นี้ รวมไปถึงช่วงสัปดาห์หน้า จะมีประเด็นให้เฟดต้องนำมาคบคิด และใช้ประกอบการตัดสินใจอีก 3-4 เรื่อง อาทิ การอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบโดยธนาคารกลางยุโรป และ การประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
สำหรับประเด็นเรื่องการอัดฉีดเม็ดเงิน นายดรากี ประธาน “อีซีบี” ก็ประกาศไปแล้วว่า มีความพร้อมที่จะเติมเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเงินเฟ้อให้เข้าใกล้ระดับ 2% จากตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 0.2% ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่อาจทำให้เฟดต้องพิจารณาเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปยังชะลอตัวอยู่
ส่วนเรื่องตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หรือ “นอนฟาร์ม เพย์โรล์” ก็มีการประกาศออกมาแล้วเมื่อคืนนี้ แต่หลังจากเขียนต้นฉบับชิ้นนี้เสร็จ ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตาดูคือ หากตัวเลขออกมาดี จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนให้เฟดทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมที่จะถึงกลางเดือนนี้ และในทางกลับกันหากออกมาไม่ดี อาจทำให้เฟดต้องชะลอเรื่องนี้ออกไปถึงเดือนธันวาคม
หากมาดูประเด็นในบ้านเรา ถ้าจะไม่ให้ตกเทรนด์ ก็คงต้องเป็นเรื่องการโหวตร่างรัฐธรรมนูญของ สปช. ว่า จะรับหรือไม่รับ โดยจะทำการลงมติกันในวันที่ 6 กันยายน แต่งานนี้คาดเดาไม่ยากหรอก เพราะใครก็รู้ว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนออกมาจากที่เดียวกันทั้งนั้น
ซึ่งหากผลออกมาว่า “ผ่าน” ตลาดจะตอบรับผลบวกตรงนี้พอสมควร เพราะทางหลักการถือว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามโรดแมพของ “ท่านนายกฯผู้ขึงขัง” ที่เคยวางเอาไว้ โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกตั้งตามหลักประชาธิปไตย
แต่หลังจากนี้ พอถึงด่านหินจริงๆ (ขั้นตอนการทำประชามติ) ไม่รู้นายกฯต้องงัดเอา ม.44 มาใช้เพื่อให้ผ่านพ้นไปได้หรือเปล่า ซึ่งดูแล้วท่าจะยาก ก็พี่แกเล่นประกาศว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ผู้แต่งคนเดิม) จะผ่านได้ต้องมีผู้เห็นด้วยไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ใช่จำนวนผู้มาลงประชามติทั้งหมดนะ
ถ้าดูในแง่เศรษฐกิจ ท่าทีการทำงานอย่างแข็งขันของท่านรองฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีมงาน ดูจะช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้น โดยผู้คนนักลงทุนก็ดูจะคลายกังวลกันไปบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็ได้แต่ลุ้นว่า ท่านจะเป็นอัศวินขี่ม้าที่ขาไม่เป๋ตัวจริง
หุ้นไทยสัปดาห์หน้า มีเรื่องต้องให้ลุ้นกันอีกหลายระลอก แต่กูรูผู้ทรงคุณวุฒิบางท่านกล่าวว่า “สถานีต่อไป 1,400 เน๊กสเตชั่น 1,400”